หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กล้วยตัดใบแหล่งใหญ่ของประเทศ

กล้วยตัดใบแหล่งใหญ่ของประเทศ...ที่สุโขทัย




กล้วยตัดใบแหล่งใหญ่ของประเทศ...ที่สุโขทัย
พื้นที่ปลูกนับ 10,000 ไร่ วันนี้ก้าวไกลสู่ตลาดส่งออก

ใครจะไปคิดว่าใบตองที่เห็นจนคุ้นตาจะมีปริมาณการใช้มากจนสามารถเป็นพืชเศรษฐกิจสร้างอาชีพได้ ยิ่งไปกว่านั้นใครจะไปคิดใบตองธรรมดาๆนี่แหละจะกลายเป็นสินค้าส่งออกที่ทำรายได้เข้าประเทศได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะจะว่ากันไปแล้วการปลูกกล้วยตัดใบเพื่อขายเป็นใบตองดูจะเป็นพืชนอกความสนใจหรือพืชนอกสายตาของใครหลายคน แต่ที่ อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ชาวบ้านที่นี่ยึดอาชีพปลูกกล้วยตานีขายใบกันมานานร่วม 40-50 ปีแล้ว สืบทอดอาชีพกันจากรุ่นสู่รุ่น ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกรวมกว่า 10,000 ไร่ เลยทีเดียว นับเป็นแหล่งปลูกกล้วยตานีเพื่อตัดใบขายแหล่งใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยมีการปลูกกันมากในเขต ต.บางยม ย่านยาว ปากน้ำ ท่าทอง เมืองและคลองกระจง โดยเฉพาะในเขต ต.คลองกระจงมีพื้นที่มากที่สุดกว่า 8,000 ไร่ ไม่ธรรมดาจริงๆ ค่ะ
กล้วยตานีเป็นกล้วยป่าชนิดหนึ่ง ใบมีลักษณะสวย มันเงา ขนาดใบยาว กว้างและเหนียว ในอดีตนิยมนำใบกล้วยตานีมามวนบุหรี่และใช้ทำภาชนะบรรจุอาหาร ด้วยคุณสมบัติโดดเด่นของใบกล้วยตานีจึงนำมาใช้เพื่อห่อขนมต่างๆ มาจนถึงปัจจุบัน ส่วนของปลี หยวกและผลอ่อนก็นำมาประกอบอาหาร แต่ผลแก่ไม่นิยมรับประทานเพราะมีเมล็ดมาก มีข้อสันนิษฐานว่ากล้วยตานีน่าจะนำเข้ามาปลูกในเมืองไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยตอนต้น หรือช่วงที่คนไทยอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่สุโขทัย ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้จังหวัดสุโขทัยจะมีการอนุรักษ์และกลายเป็นแหล่งปลูกกล้วยตานีมากที่สุดของประเทศ
กล้วยตานีที่ใช้ตัดใบได้จะมี 3 ชนิด คือ กล้วยตานีป่า กล้วยตานีหินและกล้วยตานีหม้อ แต่ชนิดที่นิยมปลูกกันมากจะเป็นกล้วยตานีหม้อเพราะทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ หาอาหารเก่ง สามารถเก็บน้ำได้มากถึง 3-5 ลิตร จุดเด่นของใบตองคือ ใบมีขนาดใหญ่และหนา ใบเหนียว ไม่แตกง่าย มีกลิ่นหอมถ้าถูกความร้อนไม่ทำให้รสชาติอาหารเปลี่ยน

เยี่ยมสวนกล้วยตานี...กับการผลิตใบตองคุณภาพ
ป้อนทั้งในและต่างประเทศของ เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ

กล้วยตานีที่นี่จะมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายทั้งปลูกเป็นแนวรั้วบ้าน รั้วสวน ปลูกแซมในสวนไม้ผลไปจนถึงปลูกเป็นสวนเดี่ยวเชิงธุรกิจ โดยผู้ที่เป็นแกนนำก็คือ คุณบุญชอบ เอมอิ่ม ซึ่งทำสวนมะยงชิด มะปรางหวานเป็นไม้ผลหลัก ประมาณ 30 ไร่ และปลูกกล้วยตานีแซมในสวนไม้ผล คุณบุญชอบนับเป็นเกษตรกรหัวก้าวหน้าที่พัฒนาการเกษตรจนได้รับตำแหน่งต่างๆมากมาย อาทิ เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาอาชีพทำสวน ปี 2553 ครูภูมิปัญญาไทย รุ่นที่ 6 ด้านเกษตรกรรม ประจำปี 2552 จาก กระทรวงศึกษาธิการ อีกทั้งยังได้ปริญญาเศรษฐศาสตร์มหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ม.เชียงใหม่ คุณบุญชอบ ได้ศึกษาและพัฒนาสายพันธุ์มะปราง มะยงชิด จนได้มะปรางสายพันธุ์สุโขทัยแท้ มะปรางสายพันธุ์ใหม่ที่ครูบุญชอบได้คิดค้นพัฒนาขึ้นมามีทั้งหมด 7 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์เจ้าเนื้อทอง 1, 2 พันธุ์ทองเอมอิ่ม 1, 2 พันธุ์ทองสุโข พันธุ์ทองพวง พันธุ์ทองหยด ซึ่งแตกต่างจากพันธุ์เดิม คือ ผลสีสวย มีขนาดใหญ่ เมล็ดลีบแบน เปลือกหนาไม่ช้ำง่าย เนื้อแข็งไม่ฉ่ำน้ำ รสชาติดีหวานสนิท ผลดิบจะมีรสมันไม่ระคายคอ ล้วนแต่เป็นพันธุ์ที่มีลักษณะโดดเด่นและได้รับรางวัลมากมายจากหลายสถาบัน นอกจากนั้นได้ริเริ่มประดิษฐ์ “สามล้อเกษตรอเนกประสงค์” ได้รับรางวัลเป็นผู้อนุรักษ์และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านเครื่องมือดีเด่นเป็นต้นแบบขยายผลไปสู่เครือข่ายอย่างกว้างขวาง ผลงานเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับประเทศ สวนของบุญชอบ ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ในลักษณะสวนไม้ผลผสมผสาน ที่ดำเนินงานตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของกรมการศึกษานอกโรงเรียน และเป็นศูนย์เรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง บ้านกรงทอง ต.คลองกระจง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัยที่มีผู้สนใจเข้ามาดูงานทั้งภาครัฐ เอกชนจนถึงเกษตรกรมาศึกษาดูงานอยู่ไม่ขาด
ในส่วนของกล้วยตานีคุณบุญชอบพยายามที่จะปลูกกล้วยตานีเพื่อให้ได้ใบตองที่มีคุณภาพ ยกระดับใบตองของที่นี่ให้มีคุณภาพสูง จนปัจจุบันนอกจากการจำหน่ายใบตองป้อนตลาดในประเทศแล้ว กลุ่มนี้ยังรวบรวมผลผลิตให้กับบริษัทส่งออกไปยังต่างประเทศอีกด้วย ซึ่งกล้วยตัดใบที่จะส่งออกได้ต้องผ่านการรับรองมาตรฐาน GAP และสมาชิกต้องผ่านการอบรมการผลิตใบกล้วยที่ถูกต้อง ปัจจุบันมีสมาชิกราว 40-50 คน พื้นที่รวมประมาณ 600 ไร่ การผลิตใบกล้วยส่งตลาดต่างประเทศแม้จะได้ราคาสูงกว่าป้อนตลาดในประเทศแต่คุณภาพของใบกล้วยที่กำหนดไว้ค่อนข้างสูงก็นับเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ชาวบ้านไม่ค่อยให้ความสนใจกับการผลิตเพื่อส่งออก แต่คุณบุญชอบก็ยังเดินหน้าที่จะส่งเสริมให้ชาวบ้านเห็นความสำคัญของการผลิตใบตองคุณภาพเพื่อความยั่งยืนของตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศที่ยังสามารถขยายตลาดได้อีกมากและจะเป็นตลาดรองรับผลผลิตที่มีศักยภาพในอนาคต

การปลูกและการดูแลกล้วยตานีเพื่อตัดใบตองขายทำกันอย่างไร

อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ตอนแรกว่าการปลูกกล้วยตานีของที่นี่จะมีทั้งที่ปลูกเป็นพืชเดี่ยวและปลูกเป็นพืชแซมในสวนไม้ผล กล้วยตานีจึงเป็นทั้งพืชสร้างรายได้หลักและพืชสร้างรายได้เสริม สำหรับสวนคุณบุญชอบนั้นจะปลูกกล้วยตานีแซมในสวนไม้ผล โดยใช้ระยะปลูก 3x3 เมตร หรือ 180 ต้นต่อไร่ ถ้าปลูกเชิงเดี่ยวหรือระยะของไม้ผลกว้างมากก็อาจปลูกในระยะ 2.5x2.5 เมตร หรือ 240 ต้นต่อไร่ 
คุณบุญชอบบอกว่า กล้วยตานีปลูกและดูแลเหมือนการปลูกกล้วยทั่วไป โดยหลังปลูกแล้วประมาณ 6-8 เดือนจะใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยอินทรีย์ประมาณ 200 กก./ไร่/ปี และให้ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) ในช่วงเร่งการเจริญเติบโตประมาณ 12-15 กิโลกรัมต่อไร่ มีการพรวนดินแปลงปลูกปีละ 1 ครั้ง กำจัดวัชพืชปีละ 2 ครั้ง ช่วงหน้าแล้งจะมีการให้น้ำเดือนละครั้ง หลังปลูกไปได้ 6-8 เดือน ก็เริ่มตัดใบขายจนกระทั่งกล้วยเริ่มออกปลี จึงตัดต้นแม่ทิ้ง ปล่อยให้หน่อลูกข้างต้นแม่ขึ้นมาแทน กล้วยตานีที่ปลูกในครั้งแรกจะตัดใบได้ประมาณ 24 ใบต่อต้น พอเข้าปีที่ 2 หน่อลูกที่เจริญขึ้นมาแทนต้นแม่ก็จะสามารถตัดใบขายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4 เท่าของปีแรก ในปีที่ 3 หน่อลูกจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นเป็นเท่าตัว แต่จะต้องควบคุมให้หน่อกล้วยตานีต่อกอไว้ประมาณ 5-7 ต้น หากไว้มากเกินไปจะทำให้ใบตองมีขนาดเล็กและคุณภาพของใบกล้วยลดลง นอกจากนี้ควรจะมีการตัดแต่งใบที่เน่าเสีย ใบที่ฉีกขาดหรือไม่มีคุณภาพทิ้งอยู่เสมอ จะช่วยให้กล้วยตานีแตกใบใหม่ที่สวยและมีคุณภาพ
ปัญหาของกล้วยตานีไม่ต่างจากกล้วยชนิดอื่น โรคที่พบส่วนใหญ่ก็จะเป็นโรคตายพราย กล้วยจะมีอาการใบเหลือง ไหม้ ต้นเน่า ยืนต้นตาย ส่วนแมลงที่พบส่วนใหญ่ก็จะมีด้วงงวงเจาะลำต้น แต่ก็ไม่รุนแรงและชาวสวนก็จะใช้วิธีตัดใบที่เป็นโรคทิ้งมากกว่าการใช้สารเคมี นอกจากนี้ก็จะมีปัญหาใบตองแตกในช่วงเดือน มีนาคม-พฤษภาคม เนื่องจากพายุลมร้อน

รายได้จากการขายใบตองกล้วยตานีน่าสนใจแค่ไหน

สำหรับรายได้จากการปลูกกล้วยตานีเพื่อขายใบนั้น ถ้าเป็นการปลูกกล้วยเชิงเดี่ยวบนพื้นที่ 1 ไร่ หากสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตจากใบกล้วยได้เต็มที่โดยกล้วยไม่เสียหายจากโรค-แมลงหรือภัยธรรมชาติ ชาวสวนจะมีรายได้ประมาณ 8,000-10,000 บาทต่อไร่ แต่ถ้าเสียหายรายได้ก็จะลดลงเหลือประมาณ 4,000-5,000 บาท/ไร่ โดยต้นทุนการดูแลจะอยู่ที่ประมาณ 2,000-2,500 บาท/ไร่ เป็นค่าการจัดการในสวน เช่น การจ้างแรงงานทำความสะอาดแปลง ตัดหญ้า สางใบ ค่าปุ๋ยคอก ปุ๋ยเคมี ค่าน้ำมัน(สำหรับเครื่องสูบน้ำ) ผลตอบแทนจะมากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับการจัดการเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงที่สุด เสียหายน้อยที่สุดและมีต้นทุนต่ำที่สุดนั่นเอง

คุณภาพของใบตองแบบไหนที่ตลาดต้องการ

ใบกล้วยตานีที่มีคุณภาพดีเหมาะแก่การทำใบตอง คือ ใบฉะหลาบ หรือใบที่ถัดลงมาจากยอดหรือใบเทียนลงมาประมาณ 1-2 ใบ ซึ่งเป็นใบกล้วยที่มีลักษณะอ่อนกำลังดี เหมาะแก่การใช้ห่อหุ้มสำหรับทำขนมหรือห่อหุ้มสิ่งของต่างๆ เป็นใบที่มีความสวยงาม สมบูรณ์และมีคุณภาพที่ดี โดย ใบเทียน ก็คือใบที่เราเห็นมีลักษณะม้วนเหมือนเทียนอยู่บริเวณตรงกลางยอดนั่นเอง โดยใบที่มีคุณภาพสำหรับป้อนตลาดต่างประเทศจะเป็นใบรองเทียนซึ่งก็จะเป็นใบที่อยู่ล่างลงมาจากใบเทียน ถ้าเป็นใบตองที่ส่งตลาดต่างประเทศ ต้องคัดใบที่มีความสวยงาม ความกว้างของใบจะมี 2 ขนาด คือ ความกว้าง 8-12 นิ้ว และ ความกว้างใบ 10-14 นิ้ว ไม่จำกัดความยาว ไม่ฉีกขาดเกิน 3 แฉก ส่วนใบที่ส่งตลาดในประเทศคุณภาพจะต่ำกว่าที่ส่งตลาดต่างประเทศ แต่ก็จะเป็นใบที่มีความสมบูรณ์ สวยงามเช่นกัน
การตัดใบตองเพื่อจำหน่ายนั้นจะนิยมตัด 2 ช่วง ถ้าช่วงเช้าก็ประมาณ 10.00 น. ช่วงเย็น 15.00 -18.00 น. เพราะใบกล้วยที่ตัดในช่วงดังกล่าวจะเป็นใบที่ค่อนข้างแห้ง ไม่มียางหรือน้ำค้างไหลออกมาทำให้ใบตองเปรอะเปื้อน หลังตัดแล้วจะนำใบมารวบรวมไว้ในร่มก่อน จากนั้นนำไปกรีดส่วนที่เป็นใบออกจากก้านใบ นำมาวางซ้อนกันแล้วพับ 3 พับ ซ้าย ขวาและกลาง แล้วรดน้ำเพื่อคลายความร้อนและสร้างความชุ่มชื้นให้กับใบในยามค่ำคืน รุ่งเช้าก็จะนำใบตองมาพับเป็นมัดๆละ 5 กิโลกรัมเพื่อส่งตลาด

ผลผลิตป้อนทั้งในและต่างประเทศ

สำหรับผลผลิตใบตองที่ ต.คลองกระจงนี้ จะมีการตัดใบตองส่งขายทุกวัน เฉลี่ยวันละ 20-30 ตัน โดยผลผลิตส่วนใหญ่จะขายตลาดในประเทศ ใบตองที่นี่จะคัด 3 เกรด เกรด A ซึ่งเป็นใบค่อนข้างใหญ่ ไม่มีตำหนิ ก็จะส่งตลาดต่างประเทศเพื่อป้อนให้กับร้านอาหารไทยในต่างประเทศ เกรด B จะป้อนตลาดค้าส่งในกรุงเทพฯ ส่วนเกรด C จะป้อนตลาดภาคเหนือและอีสาน โดยราคารับซื้อใบตอวจะอยู่ที่ 3-4 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนตลาดต่างประเทศราคาจะสูงกว่าถึง 2 เท่าตัว
นอกจากกล้วยตานีจะใช้ประโยชน์จากใบกล้วยเป็นหลักแล้ว ส่วนอื่นๆก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์สร้างมูลค่าได้เช่น กล้วยตานีที่ออปลีหรือเครือแล้วก็จะหมดอายุสำหรับการตัดใบ สามารถเก็บผลกล้วยอ่อนและปลีกล้วยจำหน่ายได้ในราคากิโลกรัมละ 2-3 บาท ส่วนของลำต้นก็นำไปลอกออกเป็นกาบเพื่อทำเป็นเชือกปอกล้วย จำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 8 บาท ซึ่งนำไปใช้ทำเครื่องจักสานจากเชือกกล้วยเพิ่มมูลค่าได้อีกมากทีเดียว
กล้วยตานีเป็นพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้ที่ดีไม่แพ้พืชอื่นอีกทั้งยังมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำมาก หลายคนอาจจะมองข้ามความสำคัญของพืชชนิดนี้ แต่ตลอดระยะเวลานานนับ 40-50 ปี ชาวบ้าน ต.คลองกระจงและพื้นที่ใกล้เคียงต่างยึดมั่นในอาชีพปลูกกล้วยตานีเพื่อสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวได้เป็นอย่างดีและเป็นอาชีพที่ยั่งยืนให้กับชาวบ้านที่นี่

ข้อมูล คุณบุญชอบ เอมอิ่ม 147 ม.5 บ้านกรงทอง ต.คลองกระจง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย 64110 โทร.081-8881739 และ 081-8884639


ข่าพืชเศรษฐกิจรายได้งาม

ข่าพืชเศรษฐกิจรายได้งาม






เยี่ยมหมู่บ้านข่าอ่อน...ที่ บ้านน้ำเที่ยง จ.อุบลราชธานี
ทำเงินงาม สร้างรายได้กว่า 500 บาท/ไร่/วัน

ข่านับเป็นพืชคู่ครัวของคนไทยทุกภาค เพราะข่าเป็นพืชเครื่องเทศที่ใช้ปรุงแต่งกลิ่นและรสชาติของอาหารให้อร่อย น่าทาน ข่าจึงเป็นส่วนประกอบในอาหารหลากหลายชนิด หลายพื้นที่จึงมีการปลูกข่าเพื่อป้อนตลาดที่มีความต้องการสูงอยู่ นอกจากข่าจะเป็นพืชที่มีความต้องการบริโภคสูงแล้ว ข่ายังมีข้อดีตรงที่ปลูกและดูแลง่าย วันนี้รักษ์เกษตรจะพาไปเยียนหมู่บ้านข่า ที่บ้านน้ำเที่ยง ต.ห้วยขยุง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ที่นี่เป็นอีกแหล่งหนึ่งที่มีการ “ปลูกข่าขาย” เป็นอาชีพเสริมรองจากการทำไร่นามากว่า 20 ปี จนทำให้อาชีพนี้กลายเป็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ที่สืบทอดอาชีพกันจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งนอกจากข่าแก่ที่เราคุ้นเคยแล้วที่นี่ยังปลูกข่าอ่อนซึ่งเป็นที่นิยมบริโภคของชาวอีสานและภาคอื่นๆมากไม่แพ้ข่าแก่เลยทีเดียว จึงทำให้ตลาดข่าอ่อนขยายตัวอย่างมาก อีกทั้งยังมีราคาจำหน่ายสูงกว่าข่าแก่ สามารถขุดขายได้ตลอดทั้งปี จึงทำให้ชาวบ้านน้ำเที่ยงหันมาขายข่าอ่อนมากกว่าข่าแก่ และเป็นแหล่งผลิตและขายข่าอ่อนแหล่งใหญ่ เพราะปลูกกันทั้งหมู่บ้าน 
ลุงเทือง บุราเกษ เกษตรกรผู้ปลูกข่าอ่อนบ้านน้ำเที่ยง ซึ่งมีประสบการณ์ปลูกข่าขายมานานเกือบ 20 ปี เล่าว่า แต่ก่อนที่ชาวบ้านน้ำเที่ยงส่วนใหญ่จะมีอาชีพทำไร่ทำนาเท่านั้น ส่วนข่านั้นยังไม่มีใครสนใจปลูกจริงจังเท่าไหร่ จนมีผู้ใหญ่ในหมู่บ้านคนหนึ่งนำพันธุ์ข่ามาปลูก และสามารถขยายพันธุ์ได้มากถึง 5 ไร่ นำไปจำหน่ายเป็นการเพิ่มรายได้จากการทำไร่ทำนาได้เป็นอย่างดี และก็ได้แจกพันธุ์ข่าให้กับชาวบ้านไปทดลองปลูกกัน จากนั้นก็มีการปลูกจำหน่ายเป็นรายได้เสริมกันแพร่หลายมาจนทุกวันนี้ โดยจะมีการปลูกข่ากันมากอยู่ 3 หมู่บ้าน แต่ละหมู่บ้านก็จะมีคนปลูกข่ากัน 50-70 ราย รวม 3 หมู่บ้านที่ปลูกข่าตอนนี้ก็ประมาณ 300 กว่าราย ชาวบ้านที่ปลูกข่าจะปลูกกันทุกครัวเรือน คนละ 1 งาน จนถึง 2-3 ไร่ ลุงเทืองก็ปลูกอยู่ไร่กว่าๆ ที่ไม่ปลูกกันมากนั้นลุงเทืองบอกว่า ทุกบ้านปลูกกันหมดแต่ละบ้านก็จะใช้แรงงานในครัวเรือน จึงไม่มีแรงงานหากปลูกมาก บ้านไหนที่คนในครอบครัวมีจำนวนมากก็สมารถปลูกมากได้ ลุงเองก็ทำกัน 2 คนกับป้า ไม่ได้จ้างแรงงาน 
ข่านั้นปลูกครั้งเดียวสามารถให้ผลผลิตได้ยาวนานต่อเนื่องถึง 10 ปี ข่าที่ปลูกกันที่บ้านน้ำเที่ยง จะเป็นพันธุ์ “ข่ากลาง” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ข่าแดง” เป็นพันธุ์ที่ปลูกง่ายแตกหน่อดี ให้ผลผลิตได้ตลอดทั้งปี
ดินที่เหมาะสมในการปลูกข่านั้นจะต้องเป็นดินที่มีลักษณะเป็นดินร่วนปนทราย และต้องไม่มีน้ำท่วมขัง ลุงเทืองให้ข้อมูลว่า การเตรียมดินในการปลูกข่านั้นเริ่มจากไถพรวนหรือไถคราดปรับหน้าดิน จากนั้นก็ทำการขุดหลุมปลูกให้ได้ขนาดหลุมละ 50x50 ซม. ให้ได้ระยะห่างประมาณ 1x1 เมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกแห้ง หรือจะใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดน้ำหรือเม็ดก็ได้ จากนั้นนำหน่อข่ามาลงปลูก หลุมละ 5-7 ต้น เมื่อปลูกต้นพันธุ์ลงไปเรียบร้อยก็ทำการกลบดินจากนั้นก็ใส่ ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ประมาณหลุมละ 1 ช้อนแกง ขั้นตอนต่อมาก็นำเศษวัสดุพวกใบไม้แห้งหรือฟางมาคลุมเพื่อเป็นการรักษาความชื้น การปลูกข่า 1 ไร่ จะใช้ต้นพันธุ์ประมาณ 1,600 ต้น ต้นพันธุ์นั้นมีราคาอยู่ที่ต้นละ 5 บาท สำหรับข่าที่จะนำมาทำเป็นแม่พันธุ์ได้นั้นจะต้องมีอายุประมาณ 1 ปี...
ขั้นตอนในการดูแลรักษา การให้น้ำ ก็ไม่ยุ่งยากมาก ถ้าเป็นในหน้าฝนการให้น้ำก็ไม่จำเป็นต้องให้ก็ได้ ส่วนถ้าเป็นในหน้าแล้งก็จะให้น้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง การให้น้ำในแปลงปลูกข่านั้นก็จะใช้วิธีการปล่อยระบายน้ำลงในแปลงปลูกให้ทั่วและต้องให้ชุ่ม ส่วนการใส่ปุ๋ยลุงเทืองจะใช้ทั้งปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ด ปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ดจะใส่ประมาณ 4-5 เดือนครั้ง ปุ๋ยเคมีใส่เดือนละ 2 ครั้ง ใช้สูตร 15-15-15 ไร่ละ 20-50 กก. 
หลังจากที่ลงแปลงปลูกข่าได้ประมาณ 3 เดือน ก็เริ่มเก็บหน่อข่าอ่อนได้แล้ว แต่ข่าจะให้หน่ออ่อนเต็มที่เมื่อข่าอายุได้ประมาณ 6 เดือน ถ้าเป็นข่าแก่ต้องใช้เวลานานกว่า 1 ปี จึงจะขุดขายได้ และสามารถเก็บได้ยาวไปจนถึง 10 ปี
“การสังเกตข่าอ่อนที่สามารถเก็บขายได้แล้วนั้น ต้องเลือกเก็บต้นที่มีใบออกมาประมาณ 3-5 ใบ ถึงจะได้ข่าอ่อนที่ไม่แก่เกินไป” กอหนึ่งจะตัดขายได้ทุกวันๆละ 2-3 ต้น พื้นที่ 1 ไร่ จะขุดหน่อข่าอ่อนขายได้วันละ 500-2,000 ต้น หรือประมาณ 300-500 กก. การขายข่าอ่อนที่นี่จะนำมามัดเป็นกำ มัดละ 6 ต้น ขายราคาเดียวตลอดทั้งปี 5 บาท แต่ช่วงไหนที่ข่าในท้องตลาดก็จะขายราคาสูงกว่านี้ 
ลุงเทืองให้ข้อมูลถึงรายได้จากการปลูกข่าว่า การปลูกข่า 1 ไร่ จะใช้เงินลงทุนประมาณ 14,000 บาท ซึ่งเป็นค่าพันธุ์ ค่าปุ๋ย และค่าเตรียมดิน ส่วนรายได้ในการเก็บข่าอ่อนจำหน่ายก็จะอยู่ที่ประมาณวันละ 500-700 บาท/ไร่ เดือนหนึ่งก็ประมาณ 15,000-20,000 บาท/ไร่ ก็นับเป็นรายได้ไม่น้อยเลย จึงทำให้ชาวบ้านที่นี่ยึดอาชีพปลูกข่ามานานกว่า 20 ปีอย่างที่บอกไว้ตอนต้น 
ข้อมูล ลุงเทือง เกษรา 160 ม.4 ต.ห้วยขยุง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี 34310 โทร.088-3490485,045-431290


ผักหวานป่าสร้างรายได้

ผักหวานป่าสร้างรายได้






แล้งนี้ผักหวานป่ายังแรง
เยี่ยมแปลงผักหวาน จ่าติ๊ก เจาะเทคนิคเรียกยอดผักหวาน

ผักหวานป่านับเป็นพืชผักกระแสแรงอีกชนิดหนึ่งที่ความนิยมไม่สร่างซาลงไปเลย มีแต่จะได้รับความสนใจในการขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันตลาดก็ขยายมากขึ้นเนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคขยายมากขึ้น ผักหวานกลายเป็นอาหารที่คนทุกภาครู้จัก เมนูผักหวานป่าเป็นที่นิยมตั้งแต่ร้านอาหารริมทางไปจนถึงร้านอาหารหรูโดยเมนูสุดฮอตก็คือ แกงผักหวานป่าใส่ไข่มดแดงบ้าง ใส่ปลาย่างบ้าง ไม่น่าเชื่อว่าความอร่อยเฉพาะเพียงแค่เมนูเดียวก็ทำให้ตลาดผักหวานกว้างขวางอย่างมาก
แหล่งปลูกผักหวานป่าที่มีชื่อเสียงของบ้านเรา ก็คือ อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี ที่นี่มีการปลูกผักหวานป่ากันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เรียกว่าปลูกกันหมู่บ้านเลยก็ว่าได้ แต่ละปีผักหวานป่าทำรายได้สู่ที่นี่นับร้อยล้านบาท วันนี้เราไม่ได้ไปดูผักหวานป่าที่บ้านหมอ แต่เราจะไปดูผักหวานป่า ที่ อ.พระพุทธบาท ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านหมอ เป็นสวนผักหวานเพียงแห่งเดียวของอำเภอ
สวนผักหวานป่า จ่าติ๊ก นับเป็นสวนผักหวานที่ชาวบ้านหมอ และพระพุทธบาท รู้จักกันเป็นอย่างดี จสอ.เทวัญ ปาลกะวงศ์ ณ.อยุธยา หรือ จ่าติ๊ก เล่าว่า เดิมเขาเป็นทหารและมาทำสวนที่นี่ แต่เนื่องจากสภาพพื้นที่เขตนี้มีปูนมาร์ลอยู่มาก ครั้งแรกจะทำสวนไม้ผล แต่ปลูกอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ ตายหมด เหลือเพียงผักหวานที่อยู่ในพื้นที่อยู่แล้วเท่านั้นที่รอด จ่าติ๊กจึงเกิดความสนใจและไปศึกษาการปลูกผักหวานที่บ้านหมอ แหล่งใหญ่ของผักหวานบ้านเรา
จ่าติ๊กทำสวนผักหวานมานานกว่า 23 ปีแล้ว โดยเริ่มสนใจและปลูกผักหวานเมื่อ ปี 2534 หลังจากที่ไปดูงานที่ บ้านหมอ จนกระทั่งปี 2547 จ่าติ๊กก็หันมาขยายพันธุ์ผักหวานด้วยกิ่งตอนซึ่งมีข้อดีกว่าการปลูกด้วยเมล็ดตรงที่ การเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตเร็วกว่า ความสำเร็จมีมากกว่า โดยผักหวานที่ปลูกจากกิ่งตอนใช้เวลาประมาณ 2 ปี ก็ให้ผลผลิตแล้ว ส่วนผักหวานที่ปลูกจากเมล็ดต้องใช้เวลานานถึง 3 ปีเลยทีเดียว แต่การปลูกด้วยกิ่งตอนจะลงทุนสูงกว่าเนื่องจากกิ่งตอนราคาสูงกว่า โดยราคาอยู่ที่ 100 บาท ความสูง 50-80 ซม. ส่วนราคาต้นกล้าที่เพาะด้วยเมล็ด ราคาถุงละ 25 บาท 2 ต้น หรือเกษตรกรจะซื้อเมล็ดไปเพาะเองก็ได้ ราคาเมล็ด กก.ละ 300 บาท มี 120-130 เมล็ด
จ่าติ๊กแนะนำว่า การปลูกผักหวานกิ่งตอนจะปลูกทันทีหลังจากตัดตุ้มลงจากต้น จะทำให้การเจริญเติบโตเร็วกว่าการนำกิ่งตอนไปปักชำในถุงก่อนปลูก จ่าติ๊กบอกว่า การตอนกิ่งผักหวานจะใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าผักหวานจะออกรากและนำไปปลูกได้ โดยผักหวานที่ตอนในช่วงฝนจะออกรากเร็ว 2-3 เดือนก็ออกแล้ว แต่ถ้าเป็นช่วงแล้งหรือช่วงหนาวจะออกรากช้า คือ 4-5 เดือน ข้อควรระวังในการตอนให้สำเร็จก็คือ ระวังอย่าให้ตุ้มกิ่งตอนแห้ง ต้องหมั่นรดน้ำตุ้มอยู่เสมอ ถ้าตุ้มกิ่งตอนแห้งก็จะไม่ออกราก
สำหรับปลูกและการดูแลผักหวานนั้นจ่าติ๊กบอกว่า การปลูกผักหวานรองก้นหลุมด้วยขี้วัว ผักหวานเป็นพืชที่รากไม่ลึก จึงไม่ต้องขุดหลุมปลูกให้ลึก ระยะปลูกที่แนะนำ 1.5 x 2 เมตร จะได้จำนวน 500 ต้นต่อไร่ และระยะ 2x2 เมตร จะได้ 400 ต้นต่อไร่ หลังปลูกต้องมีการให้น้ำเหมือนพืชทั่วไป เมื่อได้รับน้ำสม่ำเสมอผักหวานจะเจริญเติบโตเร็ว แตกยอดได้ดีในช่วงที่ต้องการให้ผักหวานออกยอด จ่าติ๊กจะให้ขี้วัวปีละ 2 ครั้ง และใส่ปุ๋ยเคมี 16-20-0 ปีละ 2 ครั้ง ที่ให้ปุ๋ยโปแตสเซียมน้อยก็เพราะจากการตรวจสภาพดินในพื้นที่พบว่าดินในเขตนี้มีโปแตสเซียมอยู่เยอะอยู่แล้ว
ผักหวานเป็นพืชป่า จึงชอบสภาพที่คล้ายกับในป่าธรรมชาติ นั่นคือ ต้องมีร่ม การปลูกกลางแจ้งผักหวานจะเจริญเติบโตไม่ดีเท่าที่ควร โดยพืชร่มเงาหรือพืชพี่เลี้ยงในแปลงผักหวานที่นิยมก็จะเป็นสะเดา ซึ่งเป็นไม้ที่มีลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ลมพัดไม่โยก เติบโตเร็ว อายุยืน ใบและเมล็ดนำมาหมักหรือสกัดทำยาฆ่าแมลงได้ อีกชนิดที่นิยมคือมะขามเทศ เป็นไม้โตเร็วเช่นกัน แต่กิ่งก้านจะเปราะกว่าสะเดา ในพื้นที่ลมแรงกิ่งอาจหักลงมาทับทำความเสียหายให้กับต้นผักหวานได้ นอกจากนี้มะขามเทศยังอายุไม่ยืน 6-7 ปีก็จะตายแล้ว อันนี้เป็นข้อมูลให้พิจารณาในการเลือกพืชพี่เลี้ยงให้กับผักหวาน
สำหรับการให้ผลผลิตของผักหวานนั้นจ่าติ๊กบอกว่า ถ้าเป็นผักหวานกิ่งตอนจะให้ผลผลิตเร็ว โดยจะเก็บยอดได้ภายใน 2 ปีหลังปลูก แต่ถ้าเป็นผักหวานเพาะเมล็ดจะให้ผลผลิตเกือบ 3 ปีเลยทีเดียวยอดจึงจะแตกเยอะ การให้ผลผลิตของผักหวานขึ้นกับการดูแลและอายุของต้น โดยปกติแล้วผักหวานอายุ 3 ปี จะให้ผลผลิต 1 ขีด/ต้น/ครั้งที่เก็บยอด อายุ 6-7 ปี จะให้ผลผลิตต่อต้นต่อครั้งที่เก็บ
เทคนิคการทำให้ผักหวานแตกยอดดีในช่วงฝนซึ่งผักหวานเป็นพืชที่แปลก ช่วงหน้าร้อน หน้าหนาวผักหวานจะแตกยอดดี โดยผักหวานจะแตกยอดเยอะในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. แต่พอได้รับน้ำมากๆในช่วงฝนผักหวานกลับไม่ค่อยแตกยอด ดังนั้นหากต้องการเก็บผักหวานขายช่วงแพงก็ต้องทำให้เก็บยอดได้ช่วงฝน ถ้าต้องการให้มียอดเก็บทั้งปีก็แบ่งเป็นแปลงย่อยๆก็ได้ โดยการหักกิ่งหรือตัดกิ่งลงมาจากยอดประมาณ 30-35 ซม. โดยหักกิ่งประมาณ 30-40 % ของต้น จากนั้นก็รูดใบออก รดน้ำใส่ปุ๋ยบำรุงต้นให้สมบูรณ์ ประมาณ 3 สัปดาห์หลังรูดใบ ผักหวานก็เก็บยอดได้ในช่วงฝนที่มีราคาแพง
สำหรับราคาผักหวานที่จำหน่ายกัน ถ้าเป็นช่วงหนาว ราคา 80 บาท/กก. ถ้าเป็นช่วงฝนราคาจะขึ้นมาเป็น 120 บาท/กก. (หน้าสวน) และราคาผักหวานป่าก็ยืนราคานี้มายาวนานหลายปี บ่งบอกว่าตลาดผักหวานยังน่าสนใจ อีกทั้งปริมาณความต้องการของตลาดก็เพิ่มขึ้น ตลาดเติบโตมากขึ้นทั้งในเมืองและในท้องถิ่น
ติดต่อ จ่าติ๊ก ได้ที่โทร. 086-1246596

ปลูกตะไคร้ ป้อนตลาดทั้งในและต่างประเทศ

ปลูกตะไคร้ ป้อนตลาดทั้งในและต่างประเทศ





ไร่ชมจันทร์...ปลูกตะไคร้ ป้อนตลาดทั้งในและต่างประเทศ
พืชเครื่องเทศที่ไม่ธรรมดา...แค่ส่งออกปีละไม่ต่ำกว่า 100 ตัน

หากพูดถึงตะไคร้ แน่นอนว่าต้องนึกถึง ตะไคร้ ไร่ชมจันทร์ ซึ่งมีการปลูกตะไคร้ส่งบริษัทส่งออกมานานเกือบ 10 ปี คุณอุไรวรรณ แก้วปาน เจ้าของไร่ตะไคร้ชมจันทร์ อดีตพนักงานบริษัทที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ก้าวมาสู่อาชีพนี้ เธอเล่าว่า เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้วญาติที่ทำนามานานจนสภาพดินเสื่อมโทรม ปลูกข้าวก็ไม่ได้ผลดีจึงยอมทิ้งที่ดินแปลงนี้ ด้วยความเสียดายจึงคิดว่าจะหาพืชอะไรมาปลูกดีบนสภาพดินที่เสียขนาดนี้ หลังจากศึกษาข้อมูลแล้วก็มาลงตัวที่ตะไคร้ เธอจึงพลิกที่นายกร่องมาเป็นสวนเพื่อปลูกตะไคร้ 5 ไร่ ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าจะเอาไปขายที่ไหน ประมาณเดือนเศษก่อนตะไคร้จะได้ตัดเธอลองไปลงประกาศทางอินเตอร์เน็ตดู โชคเข้าข้างเธออย่างมากเพราะมีบริษัทส่งออกติดต่อเข้ามาเพื่อขอซื้อตะไคร้นำไปบดเป็นผงเพื่อส่งออกไปประเทศแถบยุโรป ตอนนั้นเธอขายตะไคร้ในราคากิโลกรัมละ 6 บาท โดยขายยกทั้งกอเลย เธอเห็นเม็ดเงินจากตะไคร้พืชที่เธอแทบไม่ได้หวังผลตอบแทนมากมายนัก
ปีต่อมาคุณอุไรวรรณขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นเป็น 15 ไร่ ป้อนให้กับบริษัทเดิมด้วยความมั่นใจในตลาด และลองไปประกาศขายตะไคร้ในอินเตอร์เน็ตเหมือนเดิมเพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่าย แล้วก็มีบริษัทส่งออกติดต่อเข้ามาซื้ออีก คราวนี้ซื้อต้นตะไคร้เพื่อป้อนให้กับร้านอาหารไทยในต่างประเทศ โดยบริษัทมีการประกันราคารับซื้อและขายได้ราคาสูงขึ้น คุณอุไรวรรณเริ่มมองเห็นโอกาสทางการตลาดของตะไคร้พืชที่หลายคนมองว่าธรรมดาเหมือนที่เธอเองก็เคยมองแบบนั้นเช่นกัน
ปีที่ 3 หลังจากมั่นใจในตลาดคุณอุไรวรรณตัดสินลาออกจากงานพร้อมกับลุยตะไคร้เต็มตัว ขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มเป็น 20 ไร่ ปีต่อมานอกจากปลูกเองแล้วก็เริ่มประกาศหาลูกไร่เข้ามาร่วมโครงการกับเธอด้วย โดยจำกัดพื้นที่ในเขตสุพรรณบุรีเป็นหลักเนื่องจากใกล้บ้านและสะดวกในการดูแลและขนส่งตะไคร้ ไร่ชมจันทร์เติบโตและกิจการอย่างต่อเนื่องวันนี้มีพื้นที่ปลูกตะไคร้กว่า 300 ไร่ โดยเป็นพื้นที่ของตัวเองประมาณ 20 ไร่ ส่วนที่เหลือส่งเสริมลูกไร่ปลูกและรับซื้อผลผลิตคืน โดยลูกไร่ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี อยุธยา ลพบุรี ซึ่งคุณอุไรวรรณบอกว่าจะเน้นพื้นที่ปลูกที่ใกล้กับทางไร่เพื่อสะดวกในการดูแลลูกไร่และการขนส่งผลผลิตเข้ามาส่งยังโรงแพ็คของที่ไร่ด้วย ซึ่งปริมาณตะไคร้ในพื้นที่ขนาดนี้จะให้ผลผลิตประมาณ 100 กว่าตัน/ปี สำหรับป้อนตลาดส่งออกที่ทางไร่รับโควต้ามา 
การปลูกตะไคร้ป้อนบริษัทนั้นคุณอุไรวรรณจะไปรับออร์เดอร์มาก่อน จากนั้นก็จะวางแผนการปลูกเพื่อให้มีตะไคร้ป้อนตลาดในช่วงที่ต้องการ ซึ่งผลผลิตตะไคร้ที่นี่ส่วนใหญ่จะป้อนตลาดต่างประเทศซึ่งก็มีทั้งยุโรป เอเชีย อินโด มาเลย์ เกาหลี โดยมีปริมาณการสั่งซื้อมากในช่วงเดือน พ.ย.-เม.ย. ซึ่งมีออเดอร์การส่งช่วงนี้อยู่ประมาณ 5-6 ตัน/สัปดาห์ ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ตะไคร้ราคาสูงเพราะเป็นช่วงที่มีการบริโภคสูง ส่วนช่วงเดือน มิ.ย.-ต.ค.จะเป็นช่สวงที่มีการบริโภคน้อย ต่างประเทศจะไม่ค่อยนิยมทานผักที่มีกลิ่นแรงในช่วงนี้ ปริมาณการส่งก็จะลดลงเหลือประมาณ 2-3 ตัน/สัปดาห์ 
สเปกของตะไคร้ส่งออกจะต้องเป็นตะไคร้ต้นใหญ่ สมบูรณ์ ขาว คอไม่ดำ ไม่มีร่องรอยของโรค-แมลงทำลาย ถ้าเป็นตลาดเอเชีย ความยาวของต้นไม่มีใบจะยาว 12 นิ้ว ขนาดของตะไคร้ใช้ได้ตั้งแต่หัวเล็กถึงหัวใหญ่เปรียบเทียบง่ายๆก็หัวหรือโคนต้นตะไคร้ขนาดตั้งแต่นิ้วก้อยถึงนิ้วโป้งเลย ส่วนตะไคร้โซนยุโรปจะต้องเป็นตะไคร้หัวใหญ่ ความยาวของต้นไม่มีใบจะยาว 12 นิ้วเหมือนกัน แต่ขนาดของตะไคร้จะต้องเป็นขนาดนิ้วโป้งหับนิ้วกลางเท่านั้น ราคาตะไคร้ที่ส่งออกจะค่อนข้างแน่นอน ช่วงราคาถูกก็ 20 กว่าบาท ช่วงราคาแพงก็ 40 กว่าบาท โดยคุณอุไรวรรณจะประกันราคารับซื้อลูกไร่ไว้ที่ 15 บาทขั้นต่ำ ส่วนราคาตะไคร้ในประเทศทั่วไปจะอยู่ที่ 8-9 บาท/กก. ช่วงฝนตะไคร้จะราคาค่อนข้างถูก พอช่วงแล้งตะไคร้ก็จะมีราคาแพง 12-13 บาท/กก. ดังนั้นการปลูกตะไคร้ให้ได้ราคาดีก็ต้องวางแผนการปลูกให้ตะไคร้เก็บเกี่ยวได้ในช่วงราคาแพง
ตะไคร้ที่นิยมปลูกกันทั่วไปจะมี 3 สายพันธุ์ ตะไคร้ที่ชาวสวนนิยมปลูกป้อนตลาดในบ้านเราจะเป็นตะไคร้หยวกกับพันธุ์กาบแดง ซึ่งทั้ง 2 พันธุ์มีข้อดีคือปลูกได้ทั้งปี ต้นใหญ่ แต่อายุเก็บเกี่ยวนาน พันธุ์หยวกใช้เวลา 7 เดือน พันธุ์กาบแดงก็ 6-7 เดือน ผลผลิตประมาณ 2 ตัน/ไร่ ส่วนพันธุ์เกษตรที่คุณอุไรวรรณปลูกนั้นข้อดีคือ เก็บเกี่ยวได้เร็ว 4-5 เดือนก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว น้ำหนักดี 3 ตัน/ไร่ เป็นตะไคร้ที่หัวใหญ่ กาบขาว กาบแน่น น้ำหนักดี 
ไร่ชมจันทร์นอกจากปลูกตะไคร้เพื่อป้อนตลาดแล้ว ยังจำหน่ายพันธุ์ตะไคร้ด้วย เป็นต้นพันธุ์ที่มีคุณภาพดี รับประกันตรงตามสายพันธุ์ โดยตะไคร้ที่นำมาทำพันธุ์นี้ก็จะเป็นตะไคร้อายุ 4-5 เดือนซึ่งเหมาะสมสำหรับการทำพันธุ์ โดยที่นี่จะมีแปลงผลิตต้นพันธุ์แยกจากแปลงที่ผลิตต้นขาย ซึ่งนอกจากขายต้นพันธุ์แล้วคุณอุไรวรรณยังให้คำแนะนำวิธีการปลูกรวมไปถึงแนะนำตลาดรับซื้อตะไคร้ให้ด้วย คุณอุไรวรรณบอกว่าตลาดตะไคร้นั้นกว้างมากเพียงแต่เกษตรกรไม่เคยรู้ ตลาดใหญ่ก็คือโรงงานผลิตพริกแกงต่างๆ โรงงานผลิตบะหมี่ซึ่งมีปริมาณการสั่งซื้อเยอะมาก คุณอุไรวรรณเคยไปติดต่อเหมือนกันแต่ไม่สามารถปลูกป้อนให้กับโรงงานได้เนื่องจากกำลังการผลิตไม่เพียงพอ นอกจากนี้ตลาดที่บริโภคต้นสดรวมถึงตลาดแปรรูปเป็นอาหารเพื่อสุขภาพก็มีความต้องการสูงเช่นกัน
สำหรับเทคนิคการปลูกแลดูแลตะไคร้ของไร่ชมจันทร์นั้นคุณอุไรวรรณบอกว่า การปลูกตะไคร้ควรจะยกร่องปลูก ระยะปลูกที่เหมาะสม ใช้ระยะ 70x70 ซม. การปลูกห่างเพื่อให้แปลงโปร่ง ระบายอากาศได้ดี พื้นที่ 1 ไร่ จะใช้ต้นพันธุ์ประมาณ 150 กก. ปลูกหลุมละ 3 ต้น เพราะต้องเผื่อต้นที่ตายไว้ด้วย 1 ไร่ก็ประมาณ 2,000-2,500 หลุม สำหรับการดูแลตะไคร้นั้นคุณอุไรวรรณแนะนำว่า หลังปลูก 1 เดือนเริ่มให้ปุ๋ย พื้นที่ 1 ไร่ ใช้ 25-7-7 อัตรา 10 กก. ผสมปุ๋ยอินทรีย์ 20 กก. เดือนที่ 2 ให้ปุ๋ยสูตรเดิมอัตราเดิม เดือนที่ 3 เปลี่ยนมาใช้สูตร 16-16-16 อัตรา 10 กก.ผสมปุ๋ยอินทรีย์ 20 กก. ส่วนการให้น้ำจะมีทั้งแปลงที่ทำระบบร่องสวนซึ่งก็จะใช้เรือรดน้ำวิ่งเข้าไปในร่องน้ำเหมือนสวนยกร่องทั่วไป ส่วนแปลงพื้นที่ดอนหรือพื้นที่ราบจะติดตั้งระบบสปริงเกลอร์ ให้น้ำทุก 7 วัน ช่วงฝนไม่ต้องให้น้ำเพราะฝนตกอยู่แล้ว ส่วนสารเคมีไม่ได้ใช้เพราะปกติตะไคร้ก็มีศัตรูน้อยอยู่แล้ว
วันนี้นอกจากตะไคร้แล้ว ไร่ชมจันทร์ยังปลูกพืชอีกหลายชนิด เช่น ข่า กระชาย มะกรูดเพื่อป้อนตลาดต่างประเทศด้วยเช่นกัน ซึ่งก็ต่อยอดมาจากการปลูกตะไคร้นั่นเอง ซึ่งพืชเหล่านี้ต่างประเทศก็มีความต้องการสูงเช่นกันโดยเฉพาะใบมะกรูดที่ตลาดมีความต้องการสูงมากและมีแนวโน้มทางการตลาดที่สดใสมากๆ
ตะไคร้ยังคงเป็นพืชที่มีอนาคตทางการตลาดที่ดีและเป็นพืชที่ให้ผลตอบแทนที่ดี การดูแลก็ต่ำ คุณอุไรวรรณมองว่าตลาดตะไคร้มีแต่จะเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆทั้งตลาดบริโภคสดและตลาดเพื่อสุขภาพ จึงเป็นพืชที่น่าจะปลูกเป็นอย่างยิ่ง ใครสนใจจะปลูกก็สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทั้งเรื่องการปลูก ตลาดและต้นพันธุ์

ไร่ชมจันทร์ 27/1 ม.5 ต.สนามชัย อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี โทร.081-0188542


ส่งมะละกอป้อนตลาดวันละ 20 ตัน

ส่งมะละกอป้อนตลาดวันละ 20 ตัน



พบเจ้าพ่อมะละกอภาคเหนือตอนล่าง
ส่งมะละกอป้อนตลาดวันละ 20 ตัน

ถ้าถามถึงแหล่งปลูกมะละกอแหล่งใหญ่ของภาคเหนือตอนล่างแล้วล่ะก็เชื่อแน่ว่า จ.สุโขทัย คืออันดับหนึ่งอย่างแน่นอน โดยเฉพาะ อ.ศรีสัชนาลัยที่นี่คือแหล่งปลูกมะละกอแหล่งใหญ่และเก่าแก่แห่งหนึ่งของบ้านเราและด้วยศักยภาพที่เหนือกว่าในแทบทุกด้านของมะละกอเมื่อเทียบกับพืชดั่งเดิมที่ชาวบ้านทำกันมาค่อนชีวิต มะละกอคือพืชที่สร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มะละกอคือพืชที่สร้างฐานะความร่ำรวยให้กับพวกเขา และไม่ว่าจะล้มเหลวหรือสำเร็จสักกี่ครั้งพวกเขาก็จะกลับมาปลูกมะละกอและต่อสู้กับมะละกออยู่วันยังค่ำ นั่นเพราะพืชชนิดนี้เคยสร้างรายได้อย่างที่พวกเขาไม่เคยได้รับจากพืชชนิดอื่น

ผู้ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่บุกเบิกและทำให้ อ.ศรีสัชนาลัย กลายเป็นแหล่งปลูกมะละกอแหล่งใหญ่ที่วงการรู้จักกันดี ก็คือ คุณธีระ วัฒนะอุดมวงศ์ หรือ เฮียแบงค์ และวันนี้เฮียแบงค์คือผู้ปลูกมะละกอรายใหญ่ของที่นี่ ในนาม ไร่อริศ ที่พ่อค้ารับซื้อในทุกตลาดรู้จักกันเป็นอย่างดีมากถึง 100 ไร่ ไม่เพียงเท่านั้นเฮียแบงค์ยังส่งเสริมลูกไร่ปลูกเพื่อรับซื้อผลผลิตมะละกอป้อนสู่ตลาดต่างๆ พื้นที่รวมไม่ต่ำกว่า 300 ไร่ หมุนเวียนเพื่อให้มีผลผลิตป้อนตลาดเกือบตลอดทั้งปี โดยมีผลผลิตออกจากพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 20 ตันต่อวัน วันที่มีผลผลิตมากที่สุดเขาเคยเก็บมะละกอออกถึง 30 ตัน

ไม่น่าเชื่อว่ากระแสมะละกอฮอลแลนด์ฟีเวอร์ของ อ.ศรีสัชนาลัย ที่คาดว่าน่าจะมีพื้นที่ปลูกไม่ต่ำกว่า 1,000 ไร่ ในวันนี้จะเริ่มต้นจากมะละกอเพียง 13 ไร่ ของเฮียแบงค์ นักธุรกิจจากเมืองหลวงที่ล้มเหลวจากธุรกิจส่งออกผัก ผลไม้ ทำให้เขาตัดสินใจกลับไปเริ่มต้นที่บ้านเกิด 13 ไร่ กับการปลูกครั้งแรกในชีวิตเขาได้เงินมาเกือบ 2 ล้านบาท เม็ดเงินก้อนนี้เองที่ทำให้เฮียแบงค์ขยายพื้นที่อย่างบ้าระห่ำท่ามกลางการจับตามองของชาวบ้านที่บอกว่าเขาบ้า ปลูกมะละกอเยอะแยะขนาดนี้จะเอาไปขายที่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นเฮียแบงค์ยังประกาศรับสมัครลูกไร่เพื่อปลูกมะละกอส่งขายให้กับเขาอีกด้วย พืชใหม่ในพื้นที่เริ่มก่อตัวขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เฮียแบงค์ขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มทุกปีขณะที่ลูกไร่ก็เพิ่มจำนวนขึ้นทุกปีจากความสำเร็จของคนที่ปลูกก่อนหน้า แต่ละคนต่างมีรายได้มากมายจากการปลูกมะละกอ สร้างแรงบันดาลใจให้ชาวบ้าน หันมาปลูกมะละกอกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ศรีสัชนาลัย กลายเป็นแหล่งปลูกมะละกอแหล่งใหญ่อันดับต้นๆของประเทศ

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ แบงค์ ประสบความสำเร็จ ก็คือ เขาใส่ใจและทุ่มเทอย่างมากกับมะละกอ เพราะเขารู้ว่าเขาจะได้เม็ดเงินคืนกลับมาอย่างมากมายยิ่งกว่าทุนที่เขาใส่ลงไปหลายเท่าตัวมะละกอสวนเฮียแบงค์ติดดกเต็มคอ ขนาดลูกสม่ำเสมอ รูปทรงสวย รสชาติหวาน ขณะที่ชาวบ้านบางคนยังไม่เข้าใจในจุดนี้และไม่กล้าลงทุนจึงทำให้ผลผลิตออกมาไม่ดีเท่าที่ควรและหลายคนล้มเหลวจากอาชีพนี้ เฮียแบงค์บอกว่ามะละกอไม่ใช่พืชที่ลงทุนสูงเลย เขาบอกว่าต้นทุนมะละกอตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงเริ่มเก็บน่าจะอยู่ประมาณไร่ละ 15,000-20,000 บาท เป็นค่าระบบน้ำมินิสปริงเกลอร์ประมาณ 3,000 บาท ที่เหลือเป็นค่าเตรียมแปลง ค่าปุ๋ย สารเคมี ค่าแรงและอื่นๆ มะละกอจะหนักค่าแรงโดยเฉพาะเมื่อเก็บเกี่ยวแล้วต้องใช้แรงงานจำนวนมาก เฮียแบงค์มีคนงานมากกว่า 30 คนทั้งทำงานในสวน คัดมะละกอในจุดรับซื้อซึ่งจะต้องมีมะละกอเก็บทุกวันๆละ 20 ตัน(5-6 คันรถปิ๊กอัพ)

เมื่อถามถึงเทคนิคการดูแลมะละกอให้ติดดก รูปทรงสวย รสชาติหวาน เกรดเอ เฮียแบงค์บอกว่าอยู่ที่การใส่ปุ๋ยและดูแลเรื่องศัตรูให้อยู่หมัดปุ๋ยในช่วง 1-2 เดือนแรกเฮียแบงค์ใช้สูตรเสมอ 16-16-16 อายุ 3-4 เดือนเปลี่ยนมาใช้สูตร 8-24-24 เพื่อเร่งดอก หลังจากนั้นสลับมาใช้ 16-16-16 เพื่อบำรุงผล อายุ 7 เดือนเพิ่มความหวานโดยใช้ 13-13-21 ปริมาณปุ๋ยจะเพิ่มให้ตามอายุของต้น โดยต้นที่ให้ผลผลิตแล้วก็จะให้ปุ๋ยไร่ละ 1 กระสอบ ให้ปุ๋ยเดือนละ 2 ครั้ง และจะใส่ปุ๋ยอินทรีย์เป็นช่วงๆ อย่างต่อเนื่อง ทางใบก็จะให้ธาตุอาหารเสริมแคลเซียม-โบรอนเป็นประจำจะทำให้มะละกอออกดอกติดผลต่อเนื่อง ติดดก คุณภาพผลดี
ส่วนของศัตรูร้ายของมะละกอคือโรคไวรัสจุดวงแหวนเฮียแบงค์บอกว่าเขาปลูกมะละกอซ้ำที่มาโดยตลอดแต่ก็มีปัญหาน้อยมาก เฮียแบงค์มีวิธีการจัดการด้วยการพ่น สารป้องกันไวรัสอย่างต่อเนื่องทุก 10 วัน ขณะที่ชาวบ้านหลายคนที่ปลูกแล้วล้มเหลวเพราะจัดการไวรัสไม่ได้และไม่รอดจากไวรัสเช่นเดียวกับพื้นที่ปลูกมะละกอในแหล่งอื่นๆ เฮียแบงค์บอกว่า ถ้าเอาไวรัสอยู่คุณก็รอดแล้ว
แม้ในบางปีราคามะละกอไม่จูงใจจากปัญหาเศรษฐกิจทำให้มะละกอที่เคยขายราคา 15-18 บาท/กก.ในปีที่ผ่านๆมา ลดลงมาเหลือ10-12 บาท/กก. (ราคาหน้าสวน) ก็ทำให้ชาวสวนจำนวนไม่น้อยที่เคยเห็นเม็ดเงินก้อนใหญ่จากมะละกอถอดใจไปบ้างเหมือนกันเพราะเคยขายมะกอคันรถละ 4-5 หมื่นบาท แต่ถึงกระนั้นมะละกอก็ยังคันรถละ (3 ตัน) 3-4 หมื่นบาทอยู่ดี ขณะที่มะละกอเก็บผลผลิตทุก 3 วันหรือสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และวันนี้ราคาหน้าสวน 13-14 บาท/กก.ค่ะ

เฮียแบงค์บอกว่า เขาปลูกมะละกอมาเกือบ 20 ปี จนถึงวันนี้เขาก็ยังมองไม่เห็นว่ามีพืชไหนที่ทำเงินได้ดีเท่ามะละกอหากชาวสวนสามารถผลิตมะละกอคุณภาพ มะละกอก็ยังให้ผลตอบแทนที่ดี แต่ชาวสวนมะละกอในระดับชาวบ้านยังมองไม่เห็นความสำคัญในจุดนี้และยังไม่กล้าลงทุนจึงทำให้พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่สำหรับเฮียแบงค์แล้วเขาบอกว่า เขาเกิดจากมะละกอและเขาก็จะยืนหยัดปลูกมะละกอต่อไป ยังไม่รู้ว่าจะหยุดเมื่อไหร่

อยากรู้จักเขามากกว่านี้ ติดต่อโดยตรงได้ที่ โทร.089-8590226 หรือที่เฟส แบงค์ ไร่อริศ

น้ำยาเร่งราก ทำเอง ประหยัดค่าใช้จ่าย

น้ำยาเร่งราก ทำเอง ประหยัดค่าใช้จ่าย



น้ำยาเร่งราก ทำเอง ประหยัดค่าใช้จ่าย มีสูตรไม่มาก
- กะปิ ยี่ห้อใดก็ได้
- เครื่องดื่มชูกำลัง ยี่ห้อใดก็ได้
- น้ำเปล่า

- กะปิเพียวๆ เพียงปลายนิ้ว เอามาพอกตรงกิ่งตอนแล้วพอกซ้ำด้วยขุยมะพร้าวชุ่มน้ำ มัดให้แน่น เร่งรากได้
- เครื่องดื่มชูกำลัง ผสมน้ำอัตราส่วน 1ต่อ5 แช่ขุยมะพร้าวสำหรับพอกกิ่งตอนให้ชุ่ม เร่งรากได้ดี
- กะปิ 1 เครื่องดื่มชูกำลัง 1 ผสมเข้ากัน ใช้เป็นหัวเชื้อ นำไปผสมกับน้ำอีกในอัตรา 1 ฝาต่อน้ำ 5 ลิตร หรือหัวเชื้อ 2 ฝา ต่อน้ำ 5 ลิตร ทำน้ำยาเร่งรากได้ดีมาก

นำน้ำที่ผสมฉีดพ่นกล้วยไม้ เร่งรากได้ดี แช่กิ่งชำ หน่อสำหรับเพาะ เร่งรากได้ดี

ที่มา : Facebook เพจนี้มีไว้แบ่งปัน

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วิธีปลูกถั่วฝักยาวขาย สร้างรายได้งามๆ

วิธีปลูกถั่วฝักยาวขาย สร้างรายได้งามๆ




ธีปลูกถั่วฝักยาวขาย สร้างรายได้งามๆ ใครสนใจอยากจะลองทำเป็นอาชีพเสริมหรืออาชีพหลัก ก็น่าปลูกขายเพราะถั่วฝักยาว เป็นพืชเศรษฐกิจ ผักยอดนิยม ที่ต้องใช้ในการทำอาหารเป็นจำมากในแต่ละวัน ถั่วฝักยาวมีระยะเวลาการเก็บเกี่ยวสั้น ทำให้ามารถปลูกขายทเงินได้เร็วหรือจะปลูกหลังที่ดินว่างจากการทำเกษตรหลักอย่างนาข้าวก็จะช่วยสร้างรายได้ และเป็นการดูแลดินไปในตัวอีกด้วย

โอกาสของตลาดเกษตรยังน่าสนใจ 

แม้ที่ผ่านๆมาบางกอกทูเดย์ดอทเน็ตเราจะนำเสนอเรื่องราวเกษตรทำเงินมาหลายเรื่อง ทั้งวิธีการทำ โอกาสขาย แต่ทว่าเรายังไม่สามารถจะฟันธงได้ว่าต้องนำไปขายอย่างไร ขายที่ไหน ตลาดติดต่ออย่างไร กับใครบ้าง เพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องศึกษาและออกทำตลาดเอง เพราะเรื่องการตลาดเป็นการยากที่จะมีผู้ทำแล้วได้ผลจะมาเปิดเผย เพราะถือว่าเป็นความลับสุดยอดในธุรกิจ ถ้านำมาเปิดเผยแล้วจะทำให้มีคู่แข่งเกิดขึ้น และสร้างผลเสียต่อธุรกิจได้ ดังนั้นแล้วบางกอกทูเดย์ เราจึงมุ่งหวังนำเสนอให้ ผู้ี่สนใจได้เกิดทางเลือก มองเห็นโอกาสและช่องทางต่างๆ ว่ามันสามารถทำได้และเป็นไปได้…ส่วนเคล็ดลับารทำตลาด การทำธุรกิจ ..งคงต้องให้ผู้ประกอบการได้ศึกษาและลงมือทำเองครับ

ปลูกถั่วฝักยาวขาย  โอกาสทำเงิน ทั้งรายได้เสริมและรายได้หลัก

ถั่วฝักยาว หรือชื่อวิทยาศาตร์ Vignaunguiculata subsp.Sesquipedalis เป็นถั่วชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นไม้เลื่อย ลำต้นเป็นเถาเลื้อยที่แข็งและเหนียว เถามีสีเขียว อ่อนลำต้นม้วนพันสิ่งยึดเกาะได้ดี ส่วนใบเป็นใบประกอบแบบฝ่ามือ มี 3 ใบย่อยรูปสามเหลี่ยมยาว 6-10 เซนติเมตร และมีดอกเป็นช่อดอกออกตามซอกใบกลียดอกมีสีขาว หรือสีน้ำเงินอ่อนฝักเป็นฝักกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5-1 เซนติเมตร ยาว 20-60 เซนติเมตร ในฝักจะมีเมล็ดอยู่จำนวนหนึ่งเป็นพืชที่เติบโตได้ดีชอบอากาศร้อน มีแสงแดดตลอดทั้งวัน และมีปริมาณ ฝนตกน้อยจึงสามารถเพาะปลูกได้ทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี

วิธีการปลูกถั่วฝักยาว

@การเตรียมดิน เริ่มจากการไถพรวนดินลึก 20 -30 เซนติเมตร ใส่ปูนขาวหรือปุ๋ยคอก ตากแดดไว้สักราว 14 วัน จากนั้นจึงไถคราดใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักรองพื้น อัตราตารางเมตรละ 5 กิโลกรัม หรือ 2 ต้น/ไร่ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างของดินให้ดีขึ้น จากนั้นใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 30 กิโลกรัม / ไร่ แล้วเตรียมแปลงปลูกขนาดกว้าง 1-1.20 เมตร x ความยาวตามพื้นที่ x สูง 15-20 เซนติเมตร เกลี่ยหน้าแปลงให้เสมอกัน

@ วิธีปลูก ขุดหลุมระยะห่างระหว่างหลุม 50 เซนติเมตร ระยะห่างแถว 70-100 เซนติเมตร ก่อนหยอดเมล็ดถั่วฝักยาวหลุมละ 3 เมล็ดแล้วกลบเมล็ดด้วยแกลบหรือปุ๋ยคอก 2-3 กำมือ / หลุม จากนั้นทำค้าง โดยนำไม้ค้าง ปักหลุมๆละ 1 อัน สูง 2-2.50 เมตร ปักเอียงเข้าหากึ่งกลางเป็นคู่ๆ แล้วมัดเข้าด้วยกันแล้วใช้ไม้ค้างพาดกลางมัดยึดอีกทีหนึ่งก่อนคลุมด้วยตาข่าย หลังปลูกได้ 7-15 วัน เมื่อเริ่มมีใบ 2-3 ใบให้เลือกต้นสมบูรณ์ ไว้ 2 ต้น/หลุม ซึ่งต้นถั่วจะเริ่มพันค้างในเวลา 15-20 วันหรือหากต้องการปลูก ในกระถาง ให้เตรียมส่วนผสมของดินปลูกในกระถาง เช่น ขี้เถ้าแกลบ ดินร่วน ทรายหยาบ ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก มาผสมให้เข้ากันและพรมน้ำให้ชื้นค่อนข้างมากแต่ไม่ถึงขั้นชื้นแฉะ จากนั้นหยอดเมล็ดถั่วในกระถาง ๆ ละ 5เมล็ดห่างเท่าๆกันกดเมล็ดให้จมลงในดินลึกประมาณ 1 นิ้ว แล้วปักไม้ทำค้างความยาว ประมาณ 2 เมตร ในกระถาง

วิธีการดูแลรักษา

@การรดน้ำ ควรให้น้ำวันละ 1 ครั้ง ทุกวันๆ ทั้งนี้ให้พิจารณาสภาพภูมิอากาศ และสภาพดินด้วยไม่ควรให้น้ำแฉะจะทำให้ต้นเน่าทั้งนี้ ให้ดูจากสภาพพื้นที่ปลูกด้วย และระวังในช่วงออกดอกและติดฝักไม่ควรขาดน้ำเป็นอันขาด

@การใส่ปุ๋ย เมื่อถั่ว มีอายุราว 20 วัน ควรใส่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 อัตรา 20 กิโลกรัม/ไร่ ผสมปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 25 กิโลกรัม/ไร่ สำหรับในช่วงติดดอกและออกผล ควรให้ปุ๋ยสูตร 13-13-21 อัตรา 30-50 กิโลกรัม/ไร่ โดยทยอย ใส่ 15วัน/ครั้ง

@การป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ป้องกันแมลงศัตรูพืช เช่น เพลี้ยอ่อนและหนอนต่างๆด้วยน้ำหมักสะเดา อาจเพิ่มกากน้ำตาล หรือใส่ผงซักฟอกลงไปเล็กน้อยเพื่อช่วยเป็นสารจับใบได้ดีขึ้น ควรฉีดพ่น อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะช่วง 10-15 วัน แรก ของการปลูก หมั่นตัดใบออกบ้างเพื่อให้ได้ผลผลิตถั่วฝักยาว เพิ่มขึ้นและควรพรวนดินกำจัดวัชพืชทุกๆ 2 อาทิตย์

วิธีการเก็บเกี่ยว ถั่วฝักยาว

วิธีการเก็บเกี่ยว ถั่วฝักยาว จะเก็บได้เมื่อมีอายุ 55-60 วัน โดยสามารถทยอยเก็บผลผลิตได้ตั้งแต่วันผสมเกสร ถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 10-15 วัน และเก็บต่อไปได้ทุกๆ 2-4 วัน ควรเก็บขณะมีแดดอ่อนๆ และนำเข้าร่มทันที โดยใช้วิธีการเด็ดหรือใช้กรรไกรตัด และควรเลือกเก็บฝักที่ไม่พอง มีความเรียบสม่ำเสมอ สีฝักไม่จางและไม่ควรปล่อยให้ฝักแก่ค้างคาต้นเพราะจะทำให้ได้ผลผลิตน้อยลงซึ่งโดยทั่วไปฝักยาวจะมีอายุเก็บเกี่ยวนานราว 20-30 วัน แต่หากต้องการเก็บเมล็ดพันธุ์ ควรปล่อยให้ฝักมีสีเหลืองไม่ต้องรอจนแก่เต็มที่ ก็สามารถแกะนำเมล็ดออกมาตากแห้ง เก็บไว้ขยายพันธุ์ปลูกต่อได้

การทำตลาด ถั่วฝักยาว ในเบื้องต้น ถ้าสนใจทำเป็นอาชีพเสริม อาจจะขายในตลาดท้องถิ่น เช่นในหมู่บ้าน ร้านค้าหมู่บ้านใกล้เคียง หรือตลาดสดท้องถิ่น และเมื่อผลผลิตมากขึ้นหรือปลูกมากขึ้น ค่อยขยายตลาดออกไป ข้อดีของการเริ่มปลูกปริมาณแต่น้อยนั้น จะทำให้ความเสียหาจากการผิดพลาดน้อย และเมื่อชำนาญแล้วค่อยๆขยาย อีกทั้งยังช่วยให้เราสามารถคำนวณและคาดการเรื่องต่างๆได้ดียิ่งขึ้นด้วย…และไม่แน่ว่า เมื่อผลตได้มากแล้ว…พ่อค้าคนกลางอาจจะวิ่งมารับเองถึงที่ก็ได้

ขอบคุณ ที่อ้างอิงจาก หนังสือ รวยด้วยผักสวนครัวเพื่อการค้า (ซื้อได้ตามร้านขายหนังสือชั้นนำ) และข้อมูลจากhttp://www.bangkoktoday.net/

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ปลูกมะกรูด 1ไร่ ตัดใบขายทุก 3 เดือน ได้ 4 แสนบาท

ปลูกมะกรูด 1ไร่ ตัดใบขายทุก 3 เดือน ได้ 4 แสนบาท




ปลูกมะกรูด 1ไร่ ตัดใบขายทุก 3 เดือน ได้ 4 แสนบาท Hot Topic เรื่องทำรายได้จากสินค้าเกษตร ปลูกมะกรูด ตัดใบขาย พื้นที่ปลูก 1 ไร่ สร้างรายได้ มากกว่า 1 ล้านบาทต่อปี โดยตัดขายทุกๆ 3 เดือน รับ 4 แสนบาท เป็นอีกอาชีพทำเงินสำหรับคนที่สนใจอยากจะทำเกษตรแต่มีพื้นที่เพาะปลูกไม่มาก ซึ่งเรื่องราวของเกษตรกรผู้ปลูกใบมะกรูดขายรายนี้เริ่มต้นจากไม่รู้เรื่องการทำเกษตรเลย น่าสนใจมาก

“มีที่ดิน 4 ไร่ ตั้งใจไว้ว่าหลังเกษียณจะออกไปทำเกษตร แต่ก็ต้องลาออกก่อนเวลา ทั้งๆที่ยังไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย ตอนแรกยังคิดไม่ออกจะทำอะไรดี” คุณ ศิวาวุธ สงวนทรัพย์ อดีตผู้ช่วยทนายความที่ผันตัวเองมาเป็นเจ้าของสวนมะกรูด บ้านสนามจันทร์ อ.เมือง จ.นครปฐม เล่าว่า ตอนแรกคิดจะปลูกมะนาวนอกฤดู เพราะหน้าแล้งมะนาวมีราคาแพงทุกปี แต่ด้วยไม่มีความรู้การทำเกษตรแม้แต่นิดเดียว ประกอบกับช่วงนั้นศูนย์วิจัยและพัฒนาไม้ผลเขตร้อน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จัดอบรมการผลิตมะนาวนอกฤดูกับการทำสวนมะกรูดระยะชิด  ไปอบรมเรียนรู้ ถ้าปลูกมะนาวนอกฤดูได้แม้รายได้จะงาม แต่การดูแลนั้นยุ่งยาก ต้องใส่ปุ๋ยฉีดยาเกือบทุกวัน…เลยเบนเข็มหันมาสนมะกรูดแทน เพราะดูแลง่ายกว่า
“แต่ก่อนลงมือทำผมไปหาข้อมูลการซื้อขายในตลาดค้าส่ง-โรงงานแปรรูป แรกๆไม่มีใครอยากคุยด้วย แถมบางรายบอกว่า มีมะกรูดเมื่อไรแล้วค่อยมาเจอกัน ยอมรับว่าอายมาก แต่ความอยากมันมีมากกว่าเลยเก็บข้อมูลไปเรื่อย ซึ่งเรื่องแบบนี้เกษตรกรบ้านเราไม่ค่อยศึกษา คิดปลูกอะไรก็ลงมือทำเลย ถึงได้มีปัญหาเป็นหนี้กันมากมาย”
การสำรวจตลาดทำให้รู้ตลาดใบมะกรูดไม่ธรรมดา ความต้องการมีมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ราคาไม่แกว่งเหมือนมะนาว ในประเทศราคาอยู่ระหว่าง กก.ละ 7-15 บาท แต่ถ้าปลูกได้ดี ทำให้ใบมะกรูดมีคุณภาพส่งออกได้ ราคารับซื้ออยู่ที่ กก.ละ 100-150 บาท จึงมองไกลไปยังต่างประเทศ จากที่จะปลูกมะกรูดในที่โล่งกลางแจ้ง ปรับมาเป็นสร้างโรงเรือนติดมุ้ง เพื่อให้การจัดการปัญหาศัตรูใบมะกรูด หนอนชอนใบ เพลี้ยไฟ ไรแดง และแคงเกอร์ ได้ง่ายขึ้น…เพื่อให้ได้ใบมะกรูดมีคุณภาพ สีสวย รูปทรงไม่บิดเบี้ยวตามมาตรฐานส่งออก  “ลงมือไปแล้วมันไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้ แม้จะผ่านการอบรมมา แต่เพราะเราไม่มีความรู้การปลูกพืชเลย ช่วงมะกรูดออกใบใหม่ เห็นก้อนเล็กๆสีขาว เคลื่อนไหวได้ ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ต้องตัดใบมะกรูดใส่ถุง ขับรถไปหาอาจารย์ ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ถึงรู้ว่ามันคือเพลี้ยแป้ง ต้องตัดแต่งกิ่งนำออกไปกำจัดข้างนอก เสียเวลาเสียรายได้ไปถึง 9 เดือน จากความไม่รู้กลายมาเป็นความรู้ เป็นประสบการณ์ ทุกวันนี้มะกรูด 4 ไร่ ทุกๆ 3 เดือน จะตัดใบขายได้ 4 ตัน หากเป็นใบสด จะส่งไปขายมาเลเซีย, สิงคโปร์ ส่วนใบแห้ง, ใบแช่แข็ง ส่งไปญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกา  ช่วยสร้างรายได้หลังเกษียณให้พอมี พอกิน…1 ไร่ 3 เดือนตัดขาย 1 ครั้ง ได้เงินแค่ 4 แสนบาทเท่านั้นเอง
โอกาสของการปลูกมะกรูดขายใบ  อาชีพทำเงิน เนื่องจากใบมะกรูดเป็นส่วนประกอบของอาหารหลายชนิด ใช้ตั้งแต่ร้านอาหารตามสั่งธรรมดา จนถึงในร้านอาหารมีระดับ ความต้องการมีทุกวัน ใบมะกรูดจึงเป็นพืชเศรษฐกิจทำเงินที่น่าสนใจ ใครสนใจก็ลองสำรวจตลาดและทำกันดูเลย
ขอบคุณ www.thairath.co.th

ผักกระสัง ผักไม่มีราคาแต่คุณค่าสูง

ผักกระสัง ผักไม่มีราคาแต่คุณค่าสูง


ผักกระสัง ผักไม่มีราคาแต่คุณค่าสูง

ผักกะสังเป็นผักโบราณรสชาติดีที่คนไทยรู้จักกินกันมานาน โดยนำมากินเป็นผักสดหรือผักลวก นอกจากนี้ยังสามารถนำมาทำแกงจืด ได้อย่างหลากหลาย ผักกะสังมีรสเผ็ดหอมเป็นพี่น้องกับพริกไทยแต่รสชาติดีกว่ามาก ผักกระสังเป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก มีลำต้นอวบน้ำ สีเขียวใส สูงประมาณ 15 – 20 เซนติเมตร กินได้ทั้งดิบและสุก บางคนก็นำไปใส่ในแกงเลียง แกงอ่อม หรือแกงป่าทั่วไป แต่บางคนที่ชอบกินสด ก็จะเอาไปกินคู่กับน้ำพริก แต่ถ้าจะกินคู่กับน้ำพริกนั้นต้องเก็บต้นอ่อนที่งอกออกใหม่ แต่ถ้ากินต้นแก่ก็ไม่มีปัญห

ชื่ออื่น ผักกระสัง (อำนาจเจริญ)ชากรูด (ภาคใต้) ตาฉี่โพ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ผักกระสัง (ภาคกลาง) ผักกูด (เพชรบุรี) ผักราชวงศ์ (แม่ฮ่องสอน) ผักสังเขา (สุราษฎร์ธานี) ผักฮากกล้วย (ภาคเหนือ)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Peperomia pellucida Korth
วงศ์ PEPEROMIAEAE
ชื่อสามัญ Peperomia
แหล่งที่พบ พบทั่วไปของทุกภาค

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้น เป็นพืชล้มลุกต้นมีขนาดเล็กสูง 10 – 20 ซม. ลำต้นอวบน้ำขาวใสเปราะหักง่าย
ใบ ใบสีเขียวเป็นใบเดี่ยวออกจากลำต้นในลักษณะตรงข้าม ใบเป็นรูปหัวใจขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาเป็นคลื่นเล็กน้อย
ดอก ออกดอกเป็นช่อตามปลายยอด ช่อดอกมีสีเขียวอ่อนหรือสีครีม

ต้นผักกระสังนี้ ให้พลังงาน 10 แคลอรี่ ต่อ 100 กรัม และยังมีวิตามินซีถึง 15 มิลลิกรัมเลยนะ ผักกระสังเป็นผักที่เปราะง่าย ใบจะมีลักษณะคล้ายรูปหัวใจสีเขียว ดอกออกเป็นช่อตามปลายยอด ช่อดอกก็มีสีเขียวอ่อนเช่นกัน ผักกระสัง เจริญเติบโตได้ทั้งปี และชอบที่ชุ่มชื่น

สรรพคุณทางยาของผักกระสัง หมอยาพื้นบ้านมักจะใช้ผักกระสังตำพอกฝี หรือคั้นเอาน้ำทาแผลฝีที่มีหนอง ผักกระสังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ใบยังนำมารักษาโรคลักปิดลักเปิด แก้ไข้ แก้ปวดข้อ ข้ออักเสบ และยังเชื่อว่าการใช้น้ำต้มผักกระสังล้างหน้าจะทำให้ผิวสวย ปัจจุบันมีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่าผักกระสังมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย มีฤทธิ์ต้านการอักเสบมีฤทธิ์แก้ปวด และไม่มีพิษภัย
ที่ประเทศฟิลิปปินส์ก็มีการกินผักกระสังสดๆ หรือนำมาต้มกิน เพื่อรักษาโรคเก๊าต์และข้ออักเสบ โดยวิธีการต้มให้นำผักกระสังประมาณ๑ กำมือ ต้มกับน้ำ ท่วมยา ให้เหลือประมาณ ๑ แก้ว แบ่งรับประทานครั้งละ ครึ่งแก้ว เช้า-เย็น นอกจากนี้ชาวฟิลิปปินส์ยังใช้ทั้งต้นสดบดประคบฝี หรือตุ่มหนอง
ส่วนในมาเลเซียเชื่อว่าการรับประทานผักกระสังจะช่วยรักษาโรคตาและต้อ (glaucoma) การศึกษาวิจัยในปัจจุบันยังพบว่าผักกระสังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและมี วิตามินซีสูง เรียกได้ว่าวิตามินซีน้องๆ มะนาว คือ มะนาว ๑๐๐ กรัมมีวิตามินซี ๒๐ มิลลิกรัม ส่วนผักกระสังมีอยู่ ๑๘ มิลลิกรัม ในบ้านเราสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เคยวิเคราะห์หาธาตุอาหารในพืชผักต่างๆ พบว่าผักกระสัง ๑ ขีด หรือ ๑๐๐ กรัม มีเบต้า – แคโรทีนราว ๒๘๕ ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล

เนื่องจากในผักกระสัง มีสรรพคุณทางยาในการรักษาเริมและมะเร็งเต้านม ความรู้นี้ไม่ค่อยแพร่หลายนักแต่แมะ (มือลอ มะแซ) ที่บ้านกำปงบือแน ตำบลจะกว๊ะ อำเภอรามัน จังหวัดยะลาบอกว่า ผักกระสังเป็นยารักษาเริม มะเร็งเต้านม และฝี ในการรักษาเริมนั้นจะนำต้นผักกระสังผสมกับขมิ้นและข้าวสาร (ฮูยงงูกุมาตอกูยิ) ตำให้ละเอียดแล้วพอกทิ้งไว้ ๑ คืน และนำใบมาตำขยำแปะทาเม็ดที่เป็นใต้ราวนม แก้มะเร็งเต้านม ข้อมูลที่ว่าผักกระสังใช้รักษามะเร็งนี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลยและเป็นที่น่าทึ่งตรงที่ว่ามีรายงานการศึกษาพบว่า สารในผักกระสังมีฤทธิ์ต้านมะเร็งด้วย นอกเหนือไปจากการแก้อักเสบและแก้ปวด

คุณสารีป๊ะ อาแวกือจิ ที่บ้านกำปงบือแน ตำบลจะกวั๊ะ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา มีประสบการณ์การใช้ผักกระสังบอกว่า ผักกระสังเป็นยาสระผมทำให้ผมนุ่มโดยนำใบขยำกับน้ำชโลมศีรษะให้ศีรษะเย็น ป้องกันผมร่วง ทำให้ผมนุ่ม เพราะในผักกระสังมีธาตุอาหาร มีความเป็นกรดอ่อนๆ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านเชื้อราและแบคทีเรีย
ผักกะสังเป็นสมุนไพรที่มีประวัติการใช้เป็นยามายาวนาน ในโบลิเวียมีบันทึกที่มีอายุนับพันปีชื่อ Altenos Indians document กล่าวไว้ว่า ผักกระสังทั้งต้นบดผสมน้ำใช้กินเพื่อห้ามเลือด ใช้ส่วนรากต้มกินรักษาไข้ ใช้ส่วนเหนือดินโปะแผล นอกจากนี้ ในประเทศอื่นๆ ที่มีผักกระสังขึ้นอยู่จะใช้ผักกระสังในการรักษาอาการปวดท้องทั้งแบบธรรมดาและปวดเกร็ง ฝี สิว แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก อ่อนเพลีย ปวดหัว ระบบประสาทแปรปรวน หัด อีสุกอีใส มีแก๊สในกระเพาะ ปวดข้อรูมาติก และยังมีการใช้เฉพาะบางท้องถิ่น
ในประเทศบราซิลก็ใช้ในการลดคอเลสเตอรอล ในกียานา (Guyana) ใช้ในการขับปัสสาวะ ลดไข่ขาวในปัสสาวะ ในแถบอเมซอนใช้ขับปัสสาวะ หล่อลื่น หัวใจเต้นผิดปกติ ส่วนในมาเลเซียเชื่อว่าการรับประทานผักกระสังจะช่วยรักษาโรคตาและต้อ (glaucoma) ปัจจุบันมีสารสกัดจากผักกระสังจำหน่ายในต่างประเทศ

ผักกะสังถือว่าเป็นผักต้านมะเร็งชนิดหนึ่ง เนื่องจากมีการศึกษาวิจัยในปัจจุบันพบว่าผักกะสังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและ มีวิตามินซีสูง เรียกได้ว่าวิตามินซีน้องๆ มะนาว คือมะนาว 100 กรัม มีวิตามินซี 20 มิลลิกรัม ส่วนผักกะสังมีอยู่ 18 มิลลิกรัม และในผักกะสัง 1 ขีด หรือ 100 กรัม มีเบต้าแคโรทีน ราว 285 ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอที่จะบอกว่าผักกะสังเป็นผักต้านมะเร็ง โดยเฉพาะการกินเป็นผักสด

ผักกะสัง…รักษาโรคลักปิดลักเปิด
ในตำรายาไทยระบุไว้ว่าใบของผักกะสังใช้ในการรักษาโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งพอจะอธิบายได้ว่า ในผักกะสังมีวิตามินซีและสารอาหารสูง ซึ่งการรักษานั้นใช้ทั้งการกินและการบดต้นแปะบริเวณที่เลือดออกตามไรฟัน

ผักกะสัง…รักษา เริม ฝี มะเร็งเต้านม
หมอยาพื้นบ้านของไทยใช้ผักกะสังเป็นยาไม่มากนักส่วนใหญ่ใช้พอกฝีและสิวโดยใช้ต้นสดตำพอกฝี หรือใช้น้ำคั้นทาสิว ในต่างประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ใช้ทั้งต้นสดบดประคบฝี หรือตุ่มหนอง และโรคผิวหนังอื่นๆ เช่นกัน ซึ่งจากการศึกษาสมัยใหม่พบว่าผักกระสังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านแบคทีเรียหลายชนิด ทั้งยังมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งจะช่วยกำจัดเนื้อตายทำให้ฝีแตกได้ง่าย และสิวยุบเร็วขึ้น

“ผักกะสังรักษาเริมและมะเร็งเต้านม” ความรู้นี้ไม่ค่อยแพร่หลายนักแต่แมะ (มือลอ มะแซ) ที่บ้านกำปงบือแน ตำบลจะกว๊ะ อำเภอรามัน จังหวัดยะลาบอกว่า ผักกะสังเป็นยารักษาเริม มะเร็งเต้านม และฝี ในการรักษาเริมนั้นจะนำต้นผักกะสังผสมกับขมิ้นและข้าวสาร (ฮูยงงูกุมาตอกูยิ) ตำให้ละเอียดแล้วพอกทิ้งไว้ ๑ คืน และนำใบมาตำขยำแปะทาเม็ดที่เป็นใต้ราวนม แก้มะเร็งเต้านม ข้อมูลที่ว่าผักกะสังใช้รักษามะเร็งนี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลยและเป็นที่น่าทึ่งตรงที่ว่ามีรายงานการศึกษาพบว่า สารในผักกะสังมีฤทธิ์ต้านมะเร็งด้วย นอกเหนือไปจากการแก้อักเสบและแก้ปวด

ผักกะสัง…แก้อักเสบ ข้ออักเสบ เก๊าท์
หมอยาพื้นบ้านบางคนบอกว่ากินผักกะสังแก้ปวดข้อ ซึ่งในประเทศฟิลิปปินส์มีการกินผักกะสังสดๆ หรือนำมาต้มกิน เพื่อรักษาโรคเก๊าท์และข้ออักเสบ โดยนำผักกะสังต้นยาวสัก ๒๐ เซนติเมตร ต้มกับน้ำ ๒ แก้ว ให้เหลือประมาณ ๑ แก้ว แบ่งรับประทานครั้งละ ครึ่งแก้ว เช้า-เย็น ปัจจุบันผักกะสังเป็นสมุนไพรตัวหนึ่งที่ฟิลิปปินส์กำลังศึกษาวิจัยเพื่อใช้เป็นยารักษาโรคข้ออักเสบรวมทั้งโรคเก๊าท์จากการที่ผักกระสังสามารถลดปริมาณกรดยูริคในกระแสเลือด

ผักกะสัง…บำรุงผิว บำรุงผม
ผักกะสังยังเป็นสมุนไพรสำหรับผู้หญิงอีกชนิดหนึ่งนอกจากใช้รักษาสิวแล้ว สาวๆ สมัยก่อนยังใช้น้ำต้มผักกะสังล้างหน้าบ่อยๆ จะทำให้ผิวหน้าสดใส และนอกจากนี้ คุณสารีป๊ะ อาแวกือจิ ที่บ้านกำปงบือแน ตำบลจะกวั๊ะ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา บอกว่าผักกะสังเป็นยาสระผมทำให้ผมนุ่มโดยนำใบขยำกับน้ำชโลมศีรษะให้ศีรษะเย็น ป้องกันผมร่วง ทำให้ผมนุ่ม ซึ่งอธิบายได้ว่าผักกะสังมีธาตุอาหาร มีความเป็นกรดอ่อนๆ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านเชื้อราและแบคทีเรีย

ผักกะสังยังหาง่ายมาก โดยเฉพาะในหน้าฝน เพียงแต่มองหาในที่ชื้นๆ รอบกระถางต้นไม้ ที่เราชอบถอนทิ้งเป็นประจำ หน้าตาผักกะสังเห็นครั้งเดียวก็จำได้ แต่ก็น่าแปลกใจชื่อก็เป็นผักแต่คนไม่ยักนิยมเอามากิน ทั้งที่รสชาติดีมาก ไม่ยากถ้าจะลอง ยำผักกะสัง

ยำผักกะสังโด่ง ดังขึ้นจากการที่หมู่บ้านดงบัง ได้พลิกผันตนเองจากเกษตรเคมีมาปลูกสมุนไพรแบบเกษตรอินทรีย์ทำให้ได้กล้ากลับ มาเก็บผักพื้นบ้านรอบๆ ตัวมากินอีกครั้งหนึ่ง และได้พยายามพัฒนาตนเองเพื่อเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว ซึ่งได้มีการค้นหาเอกลักษณ์ของหมู่บ้าน สิ่งที่พวกเขาเชี่ยวชาญนอกจากการปลูกต้นไม้แล้ว แม่บ้านของชุมชนนี้ทำอาหารอร่อยมาก เช่น แกงบอน แกงปลาดุกใส่ไพลดำ ยำผักกะสังและตำรับอาหารอื่นๆ อีกมากมาย แต่เมื่อเปิดตลาดออกไปอาหารที่รับความนิยมสูงสุด คือ ยำผักกะสัง มีสื่อมวลชนมากมายไปชิมและนำสูตรมาเผยแพร่ ปัจจุบันสูตร “ยำผักกะสัง” ของหมู่บ้านดงบังเป็นที่รู้จักกันดี

สูตรยำผักกะสัง
ยำผักกะสัง ทำได้ง่าย ๆ หั่นผักชิ้นพอประมาณ 1-2 ทัพพี น้ำมะนาว 1-2 ช้อนโต๊ะ กุ้งแห้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูแห้งทอดพอประมาณ มะม่วงซอย 1-2 ช้อนโต๊ะ หัวหอมซอยพอประมาณ แครอทซอยฝอย ๆ 1-2 ช้อนโต๊ะ ถั่วลิสงคั่วพอประมาณ ขิงซอย 1-2 ช้อนโต๊ะ หมูหยองพอประมาณ โหระพา สะระแหน่ ไว้แต่งรส น้ำปลา 1-2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1-2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นรวมเครื่องปรุงทุกอย่าง เข้าด้วยกัน ปรุงรสตามชอบใจ พร้อมตักเสิร์ฟได้เลย

ข้อควรระวัง
ในผู้ที่แพ้พืชที่มีกลิ่นฉุนประเภท Mustard (พืชที่เป็นเครื่องเทศทั้งหลาย) ไม่ควรรับประทาน

ผักกะสังยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกมากมายเช่นการแก้อักเสบ ตำรับนี้จึงเหมาะกับคนที่มีปัญหาเรื่องข้ออักเสบ ต้อหิน(glaucoma) เป็นต้นในยุคคนไทยปีหนึ่งๆ ตายจากโรคมะเร็งปีละไม่น้อยกว่า 60,000 คน ดังนั้นเมนูยำผักกะสังของหมู่บ้านดงบังนี้ทันสมัยเป็นอย่างยิ่ง

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วิเคราะห์ตลาดมะละกอก่อนลงทุน

วิเคราะห์ตลาดมะละกอก่อนลงทุน




วิเคราะห์ตลาดมะละกอก่อนลงทุน
จะได้เลือกถูกว่าจะปลูกมะกอพันธุ์ไหนดี ขายช่วงไหนดีค่ะ
มะละกอ...นับเป็นไม้ผลที่อยู่ในกระแสความสนใจของเกษตรกรอย่างมากอีกชนิดหนึ่ง ด้วยจุดเด่นมากมายทั้งการเป็นพืชที่มีการปลูกและดูแลไม่ยาก ไม่ต้องใช้เทคนิคในการผลิตมากมายเหมือนไม้ผลอีกหลายชนิด โอกาสที่เกษตรกรจะประสบความสำเร็จจึงมีมาก มีโอกาสประสบความสำเร็จได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ปลูก ต้นทุนการผลิตไม่สูง มะละกอให้ผลตอบแทนเร็ว มะละกอดิบใช้เวลาเพียง 4-5 เดือน มะละกอสุกก็ใช้เวลาเพียง 8 เดือน ตลาดรองรับค่อนข้างกว้าง ที่สำคัญมะละกอเป็นพืชที่ให้ผลตอบแทนที่น่าทึ่งอย่างมาก หลายคนอาจไม่ทราบว่ามะละกอพื้นที่เพียง 10 ไร่ สามารถสร้างเงินล้านได้ไม่ยากเลย เพราะมะละกอจะสามารถเก็บผลผลิตได้ทุก 3-4 วัน หรือประมาณอาทิตย์ละ 2 ครั้งๆละ 2-3 ตัน ขึ้นอยู่กับความดก รายได้ต่อครั้งประมาณ 2-4 หมื่นบาท ขึ้นอยู่กับราคามะละกอ ด้วยผลตอบแทนขนาดนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ใครๆต่างก็อยากเดินเข้าสู่วงการมะละกอกัน อย่างไรก็ตามมะละกอก็เป็นพืชเกษตรที่มีการเคลื่อนไหวของตลาดที่ขึ้นลงเช่นเดียวกับผลผลิตเกษตรชนิดอื่นๆ รักษ์เกษตรฉบับนี้จึงอยากจะนำเสนอข้อมูลการตลาดของมะละกอเพื่อเป็นข้อมูลให้พิจารณาก่อนตัดสินใจที่จะลงทุนปลูกมะละกอกันค่ะ
ตลาดมะละกอสุก
นับเป็นตลาดใหญ่ของมะละกอเลยทีเดียว ด้วยความที่มะละกอเป็นผลไม้ที่นอกจากจะมีรสชาติอร่อยแล้ว มะละกอยังเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่เปี่ยมไปด้วยวิตามินอีกด้วย มะละกอจึงเป็นที่นิยมทั้งตลาดระดับล่างและระดับบน ผลไม้เสิร์ฟในร้านอาหาร ภัตตาคารไปถึงโรงแรมหรู หรือสายการบินก็นิยมใช้มะละกอเช่นกัน มะละกอพันธุ์ยอดฮิตก็คือ ฮอลแลนด์ ที่มีรูปทรงผลสวย เนื้อแน่น รสชาติหวานครองตลาดเบียดมะละกอพันธุ์เดิมที่ครองตลาดมานานอย่างแขกดำตกขอบไปเลย ส่วนมะละกอพันธุ์อื่นๆ ก็มีแซมในตลาดบ้าง เช่น แขกดำ ฮาวาย เรดเลดี้ ซึ่งตลาดค่อนข้างจำกัดและเฉพาะเจาะจง เกษตรกรที่จะปลูกพันธุ์เหล่านี้ต้องมีตลาดรองรับที่ชัดเจนและแน่นอนก่อนตัดสินใจปลูก ราคามะละกอสุกนับว่าดีอย่างต่อเนื่องมาตลอดหลายปี ราคายืนพื้นที่จากสวน 10-15 บาท/กก. มาตลอด ราคาขายส่งอยู่ที่ 18-20 บาท/กก. ราคาขายปลีกถึงผู้บริโภคอยู่ที่ 25-35 บาท/กก. ช่วงที่มะละกอขาดตลาด ราคาจากสวนพุ่งไปถึง 20-35 บาท/กก. ราคาขายส่ง 30-35 บาท/กก. ขายปลีกอยู่ที่ 40-50 บาท/กก. เนื่องจากเป็นช่วงที่มะละกอมีผลผลิตน้อย ผลไม้อื่นในท้องตลาดก็มีน้อย ราคาจึงแพง มะละกอที่จะมีผลผลิตออกช่วงนี้จะเป็นมะละกอที่ต้องออกดอกช่วงแล้งประมาณ มี.ค.-เม.ย. ซึ่งมะละกอจะไม่ค่อยติดผลเพราะดอกร่วงหมด ทำให้มะละกอมีผลผลิตน้อยหรือขาดตลาดทุกปีในช่วงตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย. หรืออาจจะยาวไปจนถึง ต.ค. ใครที่อยากขายมะละกอราคาแพงก็วางแผนปลูกให้มะละกอได้เก็บผลผลิตในช่วงดังกล่าว โดยใช้ระบบการจัดการน้ำและปุ๋ยเข้าไปช่วยเพื่อช่วยให้มะละกอติดผลได้ในช่วงดังกล่าวได้ล่ะก็ เตรียมตัวรับตังค์ก้อนโตได้เลย
อย่างไรก็ตามราคามะละกอสุกก็ยังผันผวนตามสภาวะการซื้อขายของตลาดและปริมาณผลผลิตในแต่ละวันแต่ละช่วงอีกด้วย ถ้าเจาะลึกลงไปในรายละเอียดของตลาดในแต่ละวันจะพบว่าตลาดมะละกอสุกจะไหลลื่นในช่วงวันจันทร์-ศุกร์ แต่พอวันเสาร์-อาทิตย์หรือวันหยุดราชการตลาดจะเงียบลงถนัด ราคาในวันนั้นก็ตกลงมาได้เช่นกัน ยิ่งเป็นช่วงเทศกาลต่างๆหรือวันสำคัญต่างๆ มะละกอเป็นพืชที่ไม่อยู่ในโผของผลไม้ที่มีการใช้ในเทศกาลใดๆ เลย ตลาดมะละกอสุกจึงแทบจะหยุดนิ่งในทุกเทศกาลวันหยุดกันเลยทีเดียว วันหยุดยาวที่ทำเอาชาวสวนมะละกอขยาดกันที่สุด ต้องปล่อยให้มะละกอสุกคาต้นกันเลยเพราะตลาดแทบจะหยุดการสั่งซื้อก็คือ ช่วงเทศกาลปีใหม่ และเทศกาลสงกรานต์ที่กินเวลายาวนานเกือบครึ่งเดือน รวมไปถึงทุกเทศกาลของชาวจีนที่เป็นช่วงทำเงินของพืชผักและผลไม้หลายชนิดกลับเป็นหยุดนิ่งของมะละกอเลยทีเดียว นอกจากนี้ในช่วงฤดูกาลใหญ่ของผลไม้ต่างๆทุกชนิดล้วนเป็นคู่แข่งสำคัญของมะละกอทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น ส้ม มะม่วง ทุเรียน เงาะ มังคุด เรียกว่าเมื่อถึงฤดูกาลของผลไม้เหล่านี้เมื่อไหร่ตลาดมะละกอถึงกับตายสนิทเหมือนกันเพราะมะละกอเป็นผลไม้ที่ไม่มีฤดูกาล มีผลผลิตออกมาให้ได้ทานกันตลอดแทบจะทั้งปี มีขาดช่วงบ้างก็เพียงในช่วงสั้นๆเท่านั้น ยกเว้นช่วงมะละกอขาดคออย่างพร้อมเพรียงกันในช่วงเดือน ส.ค.-ต.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่ผลไม้ชนิดอื่นมีน้อยเช่นกัน ช่วงนั้นราคามะละกอจะพุ่งสูงกว่าทุกช่วงเลยทีเดียว แต่สวนมะละกอก็ไม่มีผลผลิตจะให้เก็บกันเท่าไหร่นัก
ส่วนตลาดห้างสรรพสินค้าที่หลายคนอยากจะก้าวเข้าไปนั้นต้องบอกว่าไม่ง่ายเลย เพราะส่วนใหญ่ห้างแต่ละแห่งจะมีผู้ค้ารายเดิมที่ค้าขายกับห้างมานานครองส่วนแบ่งตลาดอยู่แล้ว ผู้ค้าหน้าใหม่ที่จะเข้าไปแทรกตัวนั้นไม่ง่ายเลย การเข้าไปเป็นผู้ค้าหรือซัพพลายเออร์หน้าใหม่ของห้างนั้นต้องผ่านขั้นตอนมากมาย ที่สำคัญต้องมีเงินนอนในกระเป๋าก้อนโตเพราะการค้ากับห้างกว่าจะได้เงินต้องใช้เวลานานกว่า 15-20 วัน เท่ากับว่าต้องส่งสินค้าเข้าไปก่อนประมาณ 15-20 วัน จึงจะได้รับเงิน จึงเป็นเรื่องยากที่ชาวสวนจะส่งห้างเอง เพราะนอกจากเรื่องของเงินทุนแล้ว ยังต้องมีจุดแพ็คกิ้งสินค้าที่ดี ตรงตามข้อกำหนดของห้าง ซึ่งทางห้างจะมีการตรวจทั้งแปลงผลิตและจุดแพ็คกิ้งก่อนจะรับพิจารณาให้คุณเข้ามาเป็นผู้ส่งสินค้าหรือซัพพลายเออร์ นอกจากนี้คุณต้องมีสินค้าเพียงพอต่อการสั่งซื้อที่จะมีออร์เดอร์การสั่งซื้อทุกวัน ออร์เดอร์ในแต่ละวันของแต่ละห้างประมาณ 1 ตัน/ผู้ค้าหนึ่งรายเป็นอย่างน้อย บางช่วงออร์เดอร์จะมากถึง 3 ตันในหนึ่งวัน นั่นหมายความว่าคุณต้องมีมะละกอที่จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทุกวัน ซึ่งมะละกอที่ส่งห้างต้องเป็นมะละกอแต้มที่ไม่สุกเหลืองทั้งผล นั่นหมายถึงมะละกอที่สุกต้องมีตลาดรองรับต่างหาก ขณะที่ตลาดค้าส่ง(ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ปฐมมงคล ฯลฯ) สามารถรับซื้อผลผลิตได้ทุกรูปแบบ ราคาจำหน่ายก็ตามเกรดของมะละกอ
คุณภาพของมะละกอสุกที่ตลาดต้องการจะต้องเป็นมะละกอที่มีรูปทรงผลสวย ผิวสวย ไร้ที่ตำหนิ เนื้อต้องแดง รสชาติหวานจึงจะขายได้ราคา ชาวสวนจึงต้องดูแลมะละกออย่างดีตั้งแต่อยู่บนต้น เมื่อเก็บก็ต้องเก็บอย่างระมัดระวัง ห้ามโดนกระแทกในทุกกรณีที่จะทำให้ผิวเกิดรอยขีดข่วนหรือรอยช้ำ หลังจากเก็บต้องนำมาห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ ช่วงห่อก็ต้องรองด้วยผ้าที่นิ่มเพื่อไม่ให้เกิดรอยช้ำ เรียงบนรถอย่างระมัดระวัง มะละกอสุกจะแบ่ง 3 เกรด เอ น้ำหนัก 1 กก.ขึ้นไป บี 7 ขีดถึง 1 กก. ซี 5 ขีด-7 ขีด ต่ำกว่านั้น หรือมะละกอผิวไม่สวยก็จะคัดเป็นเกรดโรงงาน ชาวสวนอาจจะกังวลกับตลาดรับซื้อแต่ถ้าคุณสามารถผลิตมะละกอที่สวย หวานไม่ต้องห่วงแม่ค้าจะรับซื้อทันทีที่คุณไปเสนอเลยทีเดียว
ตลาดมะละกอดิบ
มะละกอดิบส่วนใหญ่ก็ป้อนตลาดส้มตำ เมนูอาหารยอดฮิตของคนทุกระดับ ร้านส้มตำในบ้านเรามีอยู่ทุกหัวระแหง ตั้งแต่ร้านริมทางไปจนถึงร้านอาหารหรูหรือแม้กระทั่งโรงแรมก็ยังมีเมนูส้มตำเสิร์ฟลูกค้า ร้านส้มตำบางพื้นที่ตั้งเรียงรายห่างกันไม่กี่เมตรก็ยังขายดิบขายดีทุกร้าน บ่งบอกถึงความนิยมของอาหารชนิดนี้ได้เป็นอย่างดี เมื่อส้มตำเป็นเมนูยอดฮิตขนาดนี้แน่นอนว่าความต้องการมะละกอดิบซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักย่อมมีปริมาณการใช้มหาศาล ตลาดมะละกอดิบในช่วงที่ผ่านมานับว่าราคาดีมาตลอด แหล่งใหญ่ของมะละกอดิบอยู่ที่เขตภาคอีสานหลายจังหวัด บางพื้นที่ปลูกกันทั้งหมู่บ้าน นอกจากนี้ก็มีเขตกำแพงเพชรซึ่งสวนส้มเก่านิยมปลูกมะละกอดิบทดแทนสวนส้มเดิมกันมาก ข้อดีของการปลูกมะละกอดิบก็คือ การปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่ได้ ใช้เวลาเพียง 4-5 เดือนก็เก็บผลผลิตขายได้แล้ว การเก็บก็ไม่ต้องพิถีพิถันมากเหมือนมะละกอสุก ไม่ต้องเสียเวลามาห่อผลด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์เหมือนมะละกอสุก จึงประหยัดแรงงานในการเก็บเกี่ยวมากกว่ามะละกอสุก อีกทั้งรอบการทำเงินก็เร็วกว่าเพราะไม่ต้องรอให้มะละกอสุกแล้วค่อยเก็บ ปกติการเก็บมะละกอดิบจะเก็บกันเป็นชุดใหญ่ๆ เก็บผลผลิตกันประมาณ 2 ครั้ง/เดือน ราคามะละกอดิบในช่วงที่ผ่านมาอยู่ที่ 7-10 บาท/กก. จนมาเมื่อปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ มะละกอดิบราคาร่วงลงมามาก เหลือเพียง 2-3 บาท/กก. จากสวน ขณะที่มะละกอสุกราคาพุ่งสูงขึ้นตลอด ก็ทำให้ชาวสวนที่เคยปลูกมะละกอดิบกันมานานหันมาปลูกมะละกอสุกมาก โดยพันธุ์มะละกอดิบยอดฮิตก็คือ แขกนวล ซึ่งเป็นมะละกอผลใหญ่ ทรงผลสวย เนื้อกรอบ รองลงมาเป็นแขกดำที่มีการปลูกป้อนตลาดกินดิบกันบ้าง ขณะที่ชาวสวนบางรายแทนที่จะเก็บมะละกอดิบก็ยืดระยะเวลาการเก็บเกี่ยวออกไป รอให้มะละกอสุกก่อนแล้วจึงเก็บเพื่อป้อนตลาดโรงงานหรือโรงปอกซึ่งจะได้ราคาที่สูงขึ้น
ตลาดมะละกอโรงงาน
โรงงานนับเป็นอีกตลาดที่รองรับมะละกอที่ตกเกรดหรือคุณภาพไม่สูงพอที่จะป้อนตลาดมะละกอกินสุก เพราะโรงงานรับมะละกอที่ตกเกรดแทบจะทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นมะละกอที่ผิวไม่สวย มะละกอที่สุกมากแต่ไม่ถึงกับเละ มะละกอที่มีขนาดผลที่เล็กมาก เป็นต้น อย่างไรก็ตามมะละกอที่ป้อนโรงงานต้องบอกว่ามี 2 เกรด คือ โรงงานระดับบนที่ผลิตสินค้าคุณภาพระดับพรีเมี่ยมเพื่อป้อนตลาดผู้บริโภคระดับพรีเมี่ยมในต่างประเทศ ซึ่งโรงงานจะนำไปแปรรูปเป็นฟรุ๊ตคอกเทล(หั่นเป็นชิ้นลูกเต๋าขนาดเล็ก)ร่วมกับฝรั่ง สับปะรดและผลไม้อื่นๆ คุณภาพของมะละกอที่เข้าโรงงาน ลักษณะนี้จะใช้มะละกอที่มีผลใหญ่หน่อย น้ำหนักผลมากกว่า 1 กก.ขึ้นไป ซึ่งปอกแล้วต้องเหลือส่วนของเนื้อหนาไม่ต่ำกว่า 1 ซม. โรงงานจะไม่ซื้อมะละกอผลเล็กเพราะเนื้อจะบาง ชอบมะละกอผลใหญ่ เนื้อหนา ไม่เกี่ยงว่าจะต้องเป็นมะละกอผลกลม ผลยาว ขอให้มีเนื้อหนา ลูกโตเท่านั้น ขณะที่มะละกอป้อนตลาดทั่วไป จะชอบมะละกอผลยาว ดังนั้นเกษตรกรที่ปลูกมะละกอป้อนโรงงานไม่ต้องกังวลเรื่องมะละกอผลกลม ผลยาวกันอีก สีของเนื้อมะละกอต้องมีสีแดงเข้มหรือเหลืองเข้มตามสายพันธุ์ ความแก่ของผลเกิน 75% ขึ้นไปหรือมีแต้มสุกประมาณ 3 แต้ม ซึ่งมะละกอที่เข้าโรงงานจะต้องผ่านการสุ่มเจาะตรวจสีเนื้อ
พันธุ์มะละกอที่โรงงานรับซื้อนั้นไม่เกี่ยงเรื่องของพันธุ์โดยจะดูสีเนื้อของมะละกอเป็นหลัก โดยแยกรับซื้อเป็นมะละกอเนื้อสีแดงกับมะละกอเนื้อสีเหลืองในสัดส่วน 2:1 มะละกอเนื้อสีแดงนั้นจะหาง่ายเพราะบ้านเรานิยมปลูกกันทั่วไปอยู่แล้วโดยเฉพาะพันธุ์แขกดำ แขกนวล แต่มะละกอเนื้อเหลืองจะไม่ค่อยนิยมปลูกกันดังนั้นทางโรงงานจึงต้องให้เมล็ดพันธุ์กับพ่อค้าและเกษตรกรลูกไร่นำไปปลูกเพื่อส่งให้กับโรงงานโดยเฉพาะ พันธุ์เนื้อเหลืองที่ส่งเสริมก็จะมีพันธุ์เหลืองท่าพระ เหลืองฟลอริดา เป็นต้น
โรงงานอีกแบบหนึ่งจะเป็นโรงงานที่รับซื้อมะละกอคุณภาพต่ำลงมา รองรับผลผลิตของเกษตรกรได้มากขึ้น ราคารับซื้อก็จะถูกลง เพราะรับซื้อทั้งมะละกอที่มีขนาดผลผลเล็ก มะละกอสุกแต่ไม่เละ มะละกอผิวไม่สวยหรือมะละกอที่เป็นโรคไวรัสจุดวงแหวนก็ยังส่งได้แต่ต้องไม่เสียไปถึงเนื้อ โรงงานจะนำไปปอกเพื่อนำเนื้อไปทำฟรุ๊ตคอลเทลเช่นกันแต่ป้อนตลาดในระดับล่างกว่า และนำไปทำมะละกออบแห้ง ส่งนอก หรือขูดเป็นเส้นทำมะละกอตากแห้งเค็ม เป็นต้น โรงงานที่รับผลผลิตมะละกอลักษณะนี้ก็จะมีทั้งโรงงานรับซื้อเข้าไปปอกเองและโรงปอกเพื่อปอกผลผลิตส่งให้กับโรงงานอีกทอดหนึ่ง ส่วนใหญ่โรงงานจะไม่รับผลผลิตเองแต่จะซื้อผลผลิตผ่านโรงปอกเพื่อลดขั้นตอนการทำงานลง โรงปอกส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในเขตดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี แต่ละโรงสามารถรับซื้อผลผลิตได้ในปริมาณมากหลายสิบตันต่อวัน มีคนปอกในโรงงานตั้งแต่ 20-30 คน ไปจนถึงมากกว่า 100 คน ขึ้นอยู่กับขนาดของโรงงาน
ราคารับซื้อของโรงงานส่วนใหญ่อยู่ที่ 4-5 บาท/กก. ยกเว้นปี 2555-2556 ที่ราคามะกอโรงงานสูงเทียบเท่าราคามะกอ คือ ประมาณ 10-12 บาท/กก. ทั้งที่ก่อนหน้านี้หลายปีติดต่อกันโรงงานซื้อกันอยู่ที่ 5-7 บาท/กก. เท่านั้น ในเรื่องนี้คุณสุกิจ ด่านธำรงกุล บริษัท อาหารสยาม กล่าวว่า โดยทั่วไปแล้วโรงงานผลิตอาหารกระป๋องทั่วไปจะรับซื้อมะละกอมาใช้เป็นส่วนผสมของฟรุ๊ตคอกเทลรวมกับผลไม้ชนิดอื่น ราคารับซื้อในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 7-8 บาท/กก. จนกระทั่งปีที่แล้วต่างประเทศมีออร์เดอร์สั่งซื้อเข้ามามาก ซึ่งโดยปกติแล้วการรับออร์เดอร์ทางโรงงานจะต้องทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประมาณ 3-4 เดือนก่อนที่จะส่งสินค้า บังเอิญว่าออร์เดอร์การสั่งซื้อที่ทำสัญญากันกับต่างประเทศซึ่งจะต้องมีการส่งสินค้ากันตรงกับช่วงที่ผลผลิตมะละกอในท้องตลาดมีปริมาณน้อย ทางโรงงานจึงต้องปรับราคารับซื้อขึ้นมาเพื่อให้ใกล้เคียงกับราคามะละกอกินสด จึงเป็นผลให้ราคามะละกอโรงงานปรับตัวสูงขึ้น ราคารับซื้อเพื่อส่งโรงงานพุ่งไปถึง 12-15 บาท/กก. ใกล้เคียงกับราคามะละกอกินสด ขณะที่การจัดการทั้งในส่วนของการดูแลและในส่วนของการเก็บเกี่ยว การแพ็ค การขนส่งของมะละกอโรงงานน้อยกว่ามะละกอกินสดมาก ทำให้ชาวสวนเกิดความเข้าใจว่ามะละกอโรงงานมีความต้องการสูงและหันไปปลูกมะละกอเข้าโรงงานกันมาก แต่หลังจากนั้นราคามะละกอโรงงานก็ปรับตัวลงมาปกติ มะละกอโรงงานเกรดบนยังซื้อกันอยู่ที่ 7-8 บาท/กก. ส่วนเกรดล่างรับซื้อ(โรงปอก) ซื้อกันอยุ่ที่ 4-5 บาท/กก.และมีแนวโน้มว่ามะละกอโรงงานราคาจะไม่สูงกว่านี้หรืออาจจะต่ำลงมากว่านี้อีกเนื่องจาก 2 ปีมานี้ สถานการณ์เศรษฐกิจของยุโรปและอเมริกาซึ่งเป็นผู้สั่งซื้อรายใหญ่ไม่ค่อยดี ออร์เดอร์สั่งซื้อปีนี้จึงลดลงมามาก ซึ่งช่วงนี้ถือเป็นช่วงการเจรจาเพื่อทำสัญญาซื้อขายและส่งสินค้ากันล่วงหน้าซึ่งจะต้องมีการสั่งออร์เดอร์ล่วงหน้าประมาณ 3-4 เดือน ชาวสวนที่คิดจะพึ่งมะละกอโรงงานอาจจะต้องเตรียมใจว่าราคามะละกอโรงงานอาจจะไม่สดใสเหมือนช่วงปี 2555-ต้นปี 56 ที่ผ่านมา
จากข้อมูลข้างต้นคงพอจะเป็นแนวทางให้ท่านที่สนใจจะปลูกมะละกอได้พอมองเห็นและกำหนดแนวทางการปลูกได้ว่าจะเดินหน้าอย่างไรกับไม้ผลชนิดนี้กันนะคะ

แหล่งข้อมูล กลุ่มเกษตรก้าวใหม่ New (facebook)