วิเคราะห์ตลาดมะละกอก่อนลงทุน
วิเคราะห์ตลาดมะละกอก่อนลงทุน
จะได้เลือกถูกว่าจะปลูกมะกอพันธุ์ไหนดี ขายช่วงไหนดีค่ะ
มะละกอ...นับเป็นไม้ผลที่อยู่ในกระแสความสนใจของเกษตรกรอย่างมากอีกชนิดหนึ่ง ด้วยจุดเด่นมากมายทั้งการเป็นพืชที่มีการปลูกและดูแลไม่ยาก ไม่ต้องใช้เทคนิคในการผลิตมากมายเหมือนไม้ผลอีกหลายชนิด โอกาสที่เกษตรกรจะประสบความสำเร็จจึงมีมาก มีโอกาสประสบความสำเร็จได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ปลูก ต้นทุนการผลิตไม่สูง มะละกอให้ผลตอบแทนเร็ว มะละกอดิบใช้เวลาเพียง 4-5 เดือน มะละกอสุกก็ใช้เวลาเพียง 8 เดือน ตลาดรองรับค่อนข้างกว้าง ที่สำคัญมะละกอเป็นพืชที่ให้ผลตอบแทนที่น่าทึ่งอย่างมาก หลายคนอาจไม่ทราบว่ามะละกอพื้นที่เพียง 10 ไร่ สามารถสร้างเงินล้านได้ไม่ยากเลย เพราะมะละกอจะสามารถเก็บผลผลิตได้ทุก 3-4 วัน หรือประมาณอาทิตย์ละ 2 ครั้งๆละ 2-3 ตัน ขึ้นอยู่กับความดก รายได้ต่อครั้งประมาณ 2-4 หมื่นบาท ขึ้นอยู่กับราคามะละกอ ด้วยผลตอบแทนขนาดนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ใครๆต่างก็อยากเดินเข้าสู่วงการมะละกอกัน อย่างไรก็ตามมะละกอก็เป็นพืชเกษตรที่มีการเคลื่อนไหวของตลาดที่ขึ้นลงเช่นเดียวกับผลผลิตเกษตรชนิดอื่นๆ รักษ์เกษตรฉบับนี้จึงอยากจะนำเสนอข้อมูลการตลาดของมะละกอเพื่อเป็นข้อมูลให้พิจารณาก่อนตัดสินใจที่จะลงทุนปลูกมะละกอกันค่ะ
ตลาดมะละกอสุก
นับเป็นตลาดใหญ่ของมะละกอเลยทีเดียว ด้วยความที่มะละกอเป็นผลไม้ที่นอกจากจะมีรสชาติอร่อยแล้ว มะละกอยังเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่เปี่ยมไปด้วยวิตามินอีกด้วย มะละกอจึงเป็นที่นิยมทั้งตลาดระดับล่างและระดับบน ผลไม้เสิร์ฟในร้านอาหาร ภัตตาคารไปถึงโรงแรมหรู หรือสายการบินก็นิยมใช้มะละกอเช่นกัน มะละกอพันธุ์ยอดฮิตก็คือ ฮอลแลนด์ ที่มีรูปทรงผลสวย เนื้อแน่น รสชาติหวานครองตลาดเบียดมะละกอพันธุ์เดิมที่ครองตลาดมานานอย่างแขกดำตกขอบไปเลย ส่วนมะละกอพันธุ์อื่นๆ ก็มีแซมในตลาดบ้าง เช่น แขกดำ ฮาวาย เรดเลดี้ ซึ่งตลาดค่อนข้างจำกัดและเฉพาะเจาะจง เกษตรกรที่จะปลูกพันธุ์เหล่านี้ต้องมีตลาดรองรับที่ชัดเจนและแน่นอนก่อนตัดสินใจปลูก ราคามะละกอสุกนับว่าดีอย่างต่อเนื่องมาตลอดหลายปี ราคายืนพื้นที่จากสวน 10-15 บาท/กก. มาตลอด ราคาขายส่งอยู่ที่ 18-20 บาท/กก. ราคาขายปลีกถึงผู้บริโภคอยู่ที่ 25-35 บาท/กก. ช่วงที่มะละกอขาดตลาด ราคาจากสวนพุ่งไปถึง 20-35 บาท/กก. ราคาขายส่ง 30-35 บาท/กก. ขายปลีกอยู่ที่ 40-50 บาท/กก. เนื่องจากเป็นช่วงที่มะละกอมีผลผลิตน้อย ผลไม้อื่นในท้องตลาดก็มีน้อย ราคาจึงแพง มะละกอที่จะมีผลผลิตออกช่วงนี้จะเป็นมะละกอที่ต้องออกดอกช่วงแล้งประมาณ มี.ค.-เม.ย. ซึ่งมะละกอจะไม่ค่อยติดผลเพราะดอกร่วงหมด ทำให้มะละกอมีผลผลิตน้อยหรือขาดตลาดทุกปีในช่วงตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย. หรืออาจจะยาวไปจนถึง ต.ค. ใครที่อยากขายมะละกอราคาแพงก็วางแผนปลูกให้มะละกอได้เก็บผลผลิตในช่วงดังกล่าว โดยใช้ระบบการจัดการน้ำและปุ๋ยเข้าไปช่วยเพื่อช่วยให้มะละกอติดผลได้ในช่วงดังกล่าวได้ล่ะก็ เตรียมตัวรับตังค์ก้อนโตได้เลย
อย่างไรก็ตามราคามะละกอสุกก็ยังผันผวนตามสภาวะการซื้อขายของตลาดและปริมาณผลผลิตในแต่ละวันแต่ละช่วงอีกด้วย ถ้าเจาะลึกลงไปในรายละเอียดของตลาดในแต่ละวันจะพบว่าตลาดมะละกอสุกจะไหลลื่นในช่วงวันจันทร์-ศุกร์ แต่พอวันเสาร์-อาทิตย์หรือวันหยุดราชการตลาดจะเงียบลงถนัด ราคาในวันนั้นก็ตกลงมาได้เช่นกัน ยิ่งเป็นช่วงเทศกาลต่างๆหรือวันสำคัญต่างๆ มะละกอเป็นพืชที่ไม่อยู่ในโผของผลไม้ที่มีการใช้ในเทศกาลใดๆ เลย ตลาดมะละกอสุกจึงแทบจะหยุดนิ่งในทุกเทศกาลวันหยุดกันเลยทีเดียว วันหยุดยาวที่ทำเอาชาวสวนมะละกอขยาดกันที่สุด ต้องปล่อยให้มะละกอสุกคาต้นกันเลยเพราะตลาดแทบจะหยุดการสั่งซื้อก็คือ ช่วงเทศกาลปีใหม่ และเทศกาลสงกรานต์ที่กินเวลายาวนานเกือบครึ่งเดือน รวมไปถึงทุกเทศกาลของชาวจีนที่เป็นช่วงทำเงินของพืชผักและผลไม้หลายชนิดกลับเป็นหยุดนิ่งของมะละกอเลยทีเดียว นอกจากนี้ในช่วงฤดูกาลใหญ่ของผลไม้ต่างๆทุกชนิดล้วนเป็นคู่แข่งสำคัญของมะละกอทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น ส้ม มะม่วง ทุเรียน เงาะ มังคุด เรียกว่าเมื่อถึงฤดูกาลของผลไม้เหล่านี้เมื่อไหร่ตลาดมะละกอถึงกับตายสนิทเหมือนกันเพราะมะละกอเป็นผลไม้ที่ไม่มีฤดูกาล มีผลผลิตออกมาให้ได้ทานกันตลอดแทบจะทั้งปี มีขาดช่วงบ้างก็เพียงในช่วงสั้นๆเท่านั้น ยกเว้นช่วงมะละกอขาดคออย่างพร้อมเพรียงกันในช่วงเดือน ส.ค.-ต.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่ผลไม้ชนิดอื่นมีน้อยเช่นกัน ช่วงนั้นราคามะละกอจะพุ่งสูงกว่าทุกช่วงเลยทีเดียว แต่สวนมะละกอก็ไม่มีผลผลิตจะให้เก็บกันเท่าไหร่นัก
ส่วนตลาดห้างสรรพสินค้าที่หลายคนอยากจะก้าวเข้าไปนั้นต้องบอกว่าไม่ง่ายเลย เพราะส่วนใหญ่ห้างแต่ละแห่งจะมีผู้ค้ารายเดิมที่ค้าขายกับห้างมานานครองส่วนแบ่งตลาดอยู่แล้ว ผู้ค้าหน้าใหม่ที่จะเข้าไปแทรกตัวนั้นไม่ง่ายเลย การเข้าไปเป็นผู้ค้าหรือซัพพลายเออร์หน้าใหม่ของห้างนั้นต้องผ่านขั้นตอนมากมาย ที่สำคัญต้องมีเงินนอนในกระเป๋าก้อนโตเพราะการค้ากับห้างกว่าจะได้เงินต้องใช้เวลานานกว่า 15-20 วัน เท่ากับว่าต้องส่งสินค้าเข้าไปก่อนประมาณ 15-20 วัน จึงจะได้รับเงิน จึงเป็นเรื่องยากที่ชาวสวนจะส่งห้างเอง เพราะนอกจากเรื่องของเงินทุนแล้ว ยังต้องมีจุดแพ็คกิ้งสินค้าที่ดี ตรงตามข้อกำหนดของห้าง ซึ่งทางห้างจะมีการตรวจทั้งแปลงผลิตและจุดแพ็คกิ้งก่อนจะรับพิจารณาให้คุณเข้ามาเป็นผู้ส่งสินค้าหรือซัพพลายเออร์ นอกจากนี้คุณต้องมีสินค้าเพียงพอต่อการสั่งซื้อที่จะมีออร์เดอร์การสั่งซื้อทุกวัน ออร์เดอร์ในแต่ละวันของแต่ละห้างประมาณ 1 ตัน/ผู้ค้าหนึ่งรายเป็นอย่างน้อย บางช่วงออร์เดอร์จะมากถึง 3 ตันในหนึ่งวัน นั่นหมายความว่าคุณต้องมีมะละกอที่จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทุกวัน ซึ่งมะละกอที่ส่งห้างต้องเป็นมะละกอแต้มที่ไม่สุกเหลืองทั้งผล นั่นหมายถึงมะละกอที่สุกต้องมีตลาดรองรับต่างหาก ขณะที่ตลาดค้าส่ง(ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ปฐมมงคล ฯลฯ) สามารถรับซื้อผลผลิตได้ทุกรูปแบบ ราคาจำหน่ายก็ตามเกรดของมะละกอ
คุณภาพของมะละกอสุกที่ตลาดต้องการจะต้องเป็นมะละกอที่มีรูปทรงผลสวย ผิวสวย ไร้ที่ตำหนิ เนื้อต้องแดง รสชาติหวานจึงจะขายได้ราคา ชาวสวนจึงต้องดูแลมะละกออย่างดีตั้งแต่อยู่บนต้น เมื่อเก็บก็ต้องเก็บอย่างระมัดระวัง ห้ามโดนกระแทกในทุกกรณีที่จะทำให้ผิวเกิดรอยขีดข่วนหรือรอยช้ำ หลังจากเก็บต้องนำมาห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ ช่วงห่อก็ต้องรองด้วยผ้าที่นิ่มเพื่อไม่ให้เกิดรอยช้ำ เรียงบนรถอย่างระมัดระวัง มะละกอสุกจะแบ่ง 3 เกรด เอ น้ำหนัก 1 กก.ขึ้นไป บี 7 ขีดถึง 1 กก. ซี 5 ขีด-7 ขีด ต่ำกว่านั้น หรือมะละกอผิวไม่สวยก็จะคัดเป็นเกรดโรงงาน ชาวสวนอาจจะกังวลกับตลาดรับซื้อแต่ถ้าคุณสามารถผลิตมะละกอที่สวย หวานไม่ต้องห่วงแม่ค้าจะรับซื้อทันทีที่คุณไปเสนอเลยทีเดียว
นับเป็นตลาดใหญ่ของมะละกอเลยทีเดียว ด้วยความที่มะละกอเป็นผลไม้ที่นอกจากจะมีรสชาติอร่อยแล้ว มะละกอยังเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่เปี่ยมไปด้วยวิตามินอีกด้วย มะละกอจึงเป็นที่นิยมทั้งตลาดระดับล่างและระดับบน ผลไม้เสิร์ฟในร้านอาหาร ภัตตาคารไปถึงโรงแรมหรู หรือสายการบินก็นิยมใช้มะละกอเช่นกัน มะละกอพันธุ์ยอดฮิตก็คือ ฮอลแลนด์ ที่มีรูปทรงผลสวย เนื้อแน่น รสชาติหวานครองตลาดเบียดมะละกอพันธุ์เดิมที่ครองตลาดมานานอย่างแขกดำตกขอบไปเลย ส่วนมะละกอพันธุ์อื่นๆ ก็มีแซมในตลาดบ้าง เช่น แขกดำ ฮาวาย เรดเลดี้ ซึ่งตลาดค่อนข้างจำกัดและเฉพาะเจาะจง เกษตรกรที่จะปลูกพันธุ์เหล่านี้ต้องมีตลาดรองรับที่ชัดเจนและแน่นอนก่อนตัดสินใจปลูก ราคามะละกอสุกนับว่าดีอย่างต่อเนื่องมาตลอดหลายปี ราคายืนพื้นที่จากสวน 10-15 บาท/กก. มาตลอด ราคาขายส่งอยู่ที่ 18-20 บาท/กก. ราคาขายปลีกถึงผู้บริโภคอยู่ที่ 25-35 บาท/กก. ช่วงที่มะละกอขาดตลาด ราคาจากสวนพุ่งไปถึง 20-35 บาท/กก. ราคาขายส่ง 30-35 บาท/กก. ขายปลีกอยู่ที่ 40-50 บาท/กก. เนื่องจากเป็นช่วงที่มะละกอมีผลผลิตน้อย ผลไม้อื่นในท้องตลาดก็มีน้อย ราคาจึงแพง มะละกอที่จะมีผลผลิตออกช่วงนี้จะเป็นมะละกอที่ต้องออกดอกช่วงแล้งประมาณ มี.ค.-เม.ย. ซึ่งมะละกอจะไม่ค่อยติดผลเพราะดอกร่วงหมด ทำให้มะละกอมีผลผลิตน้อยหรือขาดตลาดทุกปีในช่วงตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย. หรืออาจจะยาวไปจนถึง ต.ค. ใครที่อยากขายมะละกอราคาแพงก็วางแผนปลูกให้มะละกอได้เก็บผลผลิตในช่วงดังกล่าว โดยใช้ระบบการจัดการน้ำและปุ๋ยเข้าไปช่วยเพื่อช่วยให้มะละกอติดผลได้ในช่วงดังกล่าวได้ล่ะก็ เตรียมตัวรับตังค์ก้อนโตได้เลย
อย่างไรก็ตามราคามะละกอสุกก็ยังผันผวนตามสภาวะการซื้อขายของตลาดและปริมาณผลผลิตในแต่ละวันแต่ละช่วงอีกด้วย ถ้าเจาะลึกลงไปในรายละเอียดของตลาดในแต่ละวันจะพบว่าตลาดมะละกอสุกจะไหลลื่นในช่วงวันจันทร์-ศุกร์ แต่พอวันเสาร์-อาทิตย์หรือวันหยุดราชการตลาดจะเงียบลงถนัด ราคาในวันนั้นก็ตกลงมาได้เช่นกัน ยิ่งเป็นช่วงเทศกาลต่างๆหรือวันสำคัญต่างๆ มะละกอเป็นพืชที่ไม่อยู่ในโผของผลไม้ที่มีการใช้ในเทศกาลใดๆ เลย ตลาดมะละกอสุกจึงแทบจะหยุดนิ่งในทุกเทศกาลวันหยุดกันเลยทีเดียว วันหยุดยาวที่ทำเอาชาวสวนมะละกอขยาดกันที่สุด ต้องปล่อยให้มะละกอสุกคาต้นกันเลยเพราะตลาดแทบจะหยุดการสั่งซื้อก็คือ ช่วงเทศกาลปีใหม่ และเทศกาลสงกรานต์ที่กินเวลายาวนานเกือบครึ่งเดือน รวมไปถึงทุกเทศกาลของชาวจีนที่เป็นช่วงทำเงินของพืชผักและผลไม้หลายชนิดกลับเป็นหยุดนิ่งของมะละกอเลยทีเดียว นอกจากนี้ในช่วงฤดูกาลใหญ่ของผลไม้ต่างๆทุกชนิดล้วนเป็นคู่แข่งสำคัญของมะละกอทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น ส้ม มะม่วง ทุเรียน เงาะ มังคุด เรียกว่าเมื่อถึงฤดูกาลของผลไม้เหล่านี้เมื่อไหร่ตลาดมะละกอถึงกับตายสนิทเหมือนกันเพราะมะละกอเป็นผลไม้ที่ไม่มีฤดูกาล มีผลผลิตออกมาให้ได้ทานกันตลอดแทบจะทั้งปี มีขาดช่วงบ้างก็เพียงในช่วงสั้นๆเท่านั้น ยกเว้นช่วงมะละกอขาดคออย่างพร้อมเพรียงกันในช่วงเดือน ส.ค.-ต.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่ผลไม้ชนิดอื่นมีน้อยเช่นกัน ช่วงนั้นราคามะละกอจะพุ่งสูงกว่าทุกช่วงเลยทีเดียว แต่สวนมะละกอก็ไม่มีผลผลิตจะให้เก็บกันเท่าไหร่นัก
ส่วนตลาดห้างสรรพสินค้าที่หลายคนอยากจะก้าวเข้าไปนั้นต้องบอกว่าไม่ง่ายเลย เพราะส่วนใหญ่ห้างแต่ละแห่งจะมีผู้ค้ารายเดิมที่ค้าขายกับห้างมานานครองส่วนแบ่งตลาดอยู่แล้ว ผู้ค้าหน้าใหม่ที่จะเข้าไปแทรกตัวนั้นไม่ง่ายเลย การเข้าไปเป็นผู้ค้าหรือซัพพลายเออร์หน้าใหม่ของห้างนั้นต้องผ่านขั้นตอนมากมาย ที่สำคัญต้องมีเงินนอนในกระเป๋าก้อนโตเพราะการค้ากับห้างกว่าจะได้เงินต้องใช้เวลานานกว่า 15-20 วัน เท่ากับว่าต้องส่งสินค้าเข้าไปก่อนประมาณ 15-20 วัน จึงจะได้รับเงิน จึงเป็นเรื่องยากที่ชาวสวนจะส่งห้างเอง เพราะนอกจากเรื่องของเงินทุนแล้ว ยังต้องมีจุดแพ็คกิ้งสินค้าที่ดี ตรงตามข้อกำหนดของห้าง ซึ่งทางห้างจะมีการตรวจทั้งแปลงผลิตและจุดแพ็คกิ้งก่อนจะรับพิจารณาให้คุณเข้ามาเป็นผู้ส่งสินค้าหรือซัพพลายเออร์ นอกจากนี้คุณต้องมีสินค้าเพียงพอต่อการสั่งซื้อที่จะมีออร์เดอร์การสั่งซื้อทุกวัน ออร์เดอร์ในแต่ละวันของแต่ละห้างประมาณ 1 ตัน/ผู้ค้าหนึ่งรายเป็นอย่างน้อย บางช่วงออร์เดอร์จะมากถึง 3 ตันในหนึ่งวัน นั่นหมายความว่าคุณต้องมีมะละกอที่จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทุกวัน ซึ่งมะละกอที่ส่งห้างต้องเป็นมะละกอแต้มที่ไม่สุกเหลืองทั้งผล นั่นหมายถึงมะละกอที่สุกต้องมีตลาดรองรับต่างหาก ขณะที่ตลาดค้าส่ง(ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ปฐมมงคล ฯลฯ) สามารถรับซื้อผลผลิตได้ทุกรูปแบบ ราคาจำหน่ายก็ตามเกรดของมะละกอ
คุณภาพของมะละกอสุกที่ตลาดต้องการจะต้องเป็นมะละกอที่มีรูปทรงผลสวย ผิวสวย ไร้ที่ตำหนิ เนื้อต้องแดง รสชาติหวานจึงจะขายได้ราคา ชาวสวนจึงต้องดูแลมะละกออย่างดีตั้งแต่อยู่บนต้น เมื่อเก็บก็ต้องเก็บอย่างระมัดระวัง ห้ามโดนกระแทกในทุกกรณีที่จะทำให้ผิวเกิดรอยขีดข่วนหรือรอยช้ำ หลังจากเก็บต้องนำมาห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ ช่วงห่อก็ต้องรองด้วยผ้าที่นิ่มเพื่อไม่ให้เกิดรอยช้ำ เรียงบนรถอย่างระมัดระวัง มะละกอสุกจะแบ่ง 3 เกรด เอ น้ำหนัก 1 กก.ขึ้นไป บี 7 ขีดถึง 1 กก. ซี 5 ขีด-7 ขีด ต่ำกว่านั้น หรือมะละกอผิวไม่สวยก็จะคัดเป็นเกรดโรงงาน ชาวสวนอาจจะกังวลกับตลาดรับซื้อแต่ถ้าคุณสามารถผลิตมะละกอที่สวย หวานไม่ต้องห่วงแม่ค้าจะรับซื้อทันทีที่คุณไปเสนอเลยทีเดียว
ตลาดมะละกอดิบ
มะละกอดิบส่วนใหญ่ก็ป้อนตลาดส้มตำ เมนูอาหารยอดฮิตของคนทุกระดับ ร้านส้มตำในบ้านเรามีอยู่ทุกหัวระแหง ตั้งแต่ร้านริมทางไปจนถึงร้านอาหารหรูหรือแม้กระทั่งโรงแรมก็ยังมีเมนูส้มตำเสิร์ฟลูกค้า ร้านส้มตำบางพื้นที่ตั้งเรียงรายห่างกันไม่กี่เมตรก็ยังขายดิบขายดีทุกร้าน บ่งบอกถึงความนิยมของอาหารชนิดนี้ได้เป็นอย่างดี เมื่อส้มตำเป็นเมนูยอดฮิตขนาดนี้แน่นอนว่าความต้องการมะละกอดิบซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักย่อมมีปริมาณการใช้มหาศาล ตลาดมะละกอดิบในช่วงที่ผ่านมานับว่าราคาดีมาตลอด แหล่งใหญ่ของมะละกอดิบอยู่ที่เขตภาคอีสานหลายจังหวัด บางพื้นที่ปลูกกันทั้งหมู่บ้าน นอกจากนี้ก็มีเขตกำแพงเพชรซึ่งสวนส้มเก่านิยมปลูกมะละกอดิบทดแทนสวนส้มเดิมกันมาก ข้อดีของการปลูกมะละกอดิบก็คือ การปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่ได้ ใช้เวลาเพียง 4-5 เดือนก็เก็บผลผลิตขายได้แล้ว การเก็บก็ไม่ต้องพิถีพิถันมากเหมือนมะละกอสุก ไม่ต้องเสียเวลามาห่อผลด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์เหมือนมะละกอสุก จึงประหยัดแรงงานในการเก็บเกี่ยวมากกว่ามะละกอสุก อีกทั้งรอบการทำเงินก็เร็วกว่าเพราะไม่ต้องรอให้มะละกอสุกแล้วค่อยเก็บ ปกติการเก็บมะละกอดิบจะเก็บกันเป็นชุดใหญ่ๆ เก็บผลผลิตกันประมาณ 2 ครั้ง/เดือน ราคามะละกอดิบในช่วงที่ผ่านมาอยู่ที่ 7-10 บาท/กก. จนมาเมื่อปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ มะละกอดิบราคาร่วงลงมามาก เหลือเพียง 2-3 บาท/กก. จากสวน ขณะที่มะละกอสุกราคาพุ่งสูงขึ้นตลอด ก็ทำให้ชาวสวนที่เคยปลูกมะละกอดิบกันมานานหันมาปลูกมะละกอสุกมาก โดยพันธุ์มะละกอดิบยอดฮิตก็คือ แขกนวล ซึ่งเป็นมะละกอผลใหญ่ ทรงผลสวย เนื้อกรอบ รองลงมาเป็นแขกดำที่มีการปลูกป้อนตลาดกินดิบกันบ้าง ขณะที่ชาวสวนบางรายแทนที่จะเก็บมะละกอดิบก็ยืดระยะเวลาการเก็บเกี่ยวออกไป รอให้มะละกอสุกก่อนแล้วจึงเก็บเพื่อป้อนตลาดโรงงานหรือโรงปอกซึ่งจะได้ราคาที่สูงขึ้น
มะละกอดิบส่วนใหญ่ก็ป้อนตลาดส้มตำ เมนูอาหารยอดฮิตของคนทุกระดับ ร้านส้มตำในบ้านเรามีอยู่ทุกหัวระแหง ตั้งแต่ร้านริมทางไปจนถึงร้านอาหารหรูหรือแม้กระทั่งโรงแรมก็ยังมีเมนูส้มตำเสิร์ฟลูกค้า ร้านส้มตำบางพื้นที่ตั้งเรียงรายห่างกันไม่กี่เมตรก็ยังขายดิบขายดีทุกร้าน บ่งบอกถึงความนิยมของอาหารชนิดนี้ได้เป็นอย่างดี เมื่อส้มตำเป็นเมนูยอดฮิตขนาดนี้แน่นอนว่าความต้องการมะละกอดิบซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักย่อมมีปริมาณการใช้มหาศาล ตลาดมะละกอดิบในช่วงที่ผ่านมานับว่าราคาดีมาตลอด แหล่งใหญ่ของมะละกอดิบอยู่ที่เขตภาคอีสานหลายจังหวัด บางพื้นที่ปลูกกันทั้งหมู่บ้าน นอกจากนี้ก็มีเขตกำแพงเพชรซึ่งสวนส้มเก่านิยมปลูกมะละกอดิบทดแทนสวนส้มเดิมกันมาก ข้อดีของการปลูกมะละกอดิบก็คือ การปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่ได้ ใช้เวลาเพียง 4-5 เดือนก็เก็บผลผลิตขายได้แล้ว การเก็บก็ไม่ต้องพิถีพิถันมากเหมือนมะละกอสุก ไม่ต้องเสียเวลามาห่อผลด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์เหมือนมะละกอสุก จึงประหยัดแรงงานในการเก็บเกี่ยวมากกว่ามะละกอสุก อีกทั้งรอบการทำเงินก็เร็วกว่าเพราะไม่ต้องรอให้มะละกอสุกแล้วค่อยเก็บ ปกติการเก็บมะละกอดิบจะเก็บกันเป็นชุดใหญ่ๆ เก็บผลผลิตกันประมาณ 2 ครั้ง/เดือน ราคามะละกอดิบในช่วงที่ผ่านมาอยู่ที่ 7-10 บาท/กก. จนมาเมื่อปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ มะละกอดิบราคาร่วงลงมามาก เหลือเพียง 2-3 บาท/กก. จากสวน ขณะที่มะละกอสุกราคาพุ่งสูงขึ้นตลอด ก็ทำให้ชาวสวนที่เคยปลูกมะละกอดิบกันมานานหันมาปลูกมะละกอสุกมาก โดยพันธุ์มะละกอดิบยอดฮิตก็คือ แขกนวล ซึ่งเป็นมะละกอผลใหญ่ ทรงผลสวย เนื้อกรอบ รองลงมาเป็นแขกดำที่มีการปลูกป้อนตลาดกินดิบกันบ้าง ขณะที่ชาวสวนบางรายแทนที่จะเก็บมะละกอดิบก็ยืดระยะเวลาการเก็บเกี่ยวออกไป รอให้มะละกอสุกก่อนแล้วจึงเก็บเพื่อป้อนตลาดโรงงานหรือโรงปอกซึ่งจะได้ราคาที่สูงขึ้น
ตลาดมะละกอโรงงาน
โรงงานนับเป็นอีกตลาดที่รองรับมะละกอที่ตกเกรดหรือคุณภาพไม่สูงพอที่จะป้อนตลาดมะละกอกินสุก เพราะโรงงานรับมะละกอที่ตกเกรดแทบจะทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นมะละกอที่ผิวไม่สวย มะละกอที่สุกมากแต่ไม่ถึงกับเละ มะละกอที่มีขนาดผลที่เล็กมาก เป็นต้น อย่างไรก็ตามมะละกอที่ป้อนโรงงานต้องบอกว่ามี 2 เกรด คือ โรงงานระดับบนที่ผลิตสินค้าคุณภาพระดับพรีเมี่ยมเพื่อป้อนตลาดผู้บริโภคระดับพรีเมี่ยมในต่างประเทศ ซึ่งโรงงานจะนำไปแปรรูปเป็นฟรุ๊ตคอกเทล(หั่นเป็นชิ้นลูกเต๋าขนาดเล็ก)ร่วมกับฝรั่ง สับปะรดและผลไม้อื่นๆ คุณภาพของมะละกอที่เข้าโรงงาน ลักษณะนี้จะใช้มะละกอที่มีผลใหญ่หน่อย น้ำหนักผลมากกว่า 1 กก.ขึ้นไป ซึ่งปอกแล้วต้องเหลือส่วนของเนื้อหนาไม่ต่ำกว่า 1 ซม. โรงงานจะไม่ซื้อมะละกอผลเล็กเพราะเนื้อจะบาง ชอบมะละกอผลใหญ่ เนื้อหนา ไม่เกี่ยงว่าจะต้องเป็นมะละกอผลกลม ผลยาว ขอให้มีเนื้อหนา ลูกโตเท่านั้น ขณะที่มะละกอป้อนตลาดทั่วไป จะชอบมะละกอผลยาว ดังนั้นเกษตรกรที่ปลูกมะละกอป้อนโรงงานไม่ต้องกังวลเรื่องมะละกอผลกลม ผลยาวกันอีก สีของเนื้อมะละกอต้องมีสีแดงเข้มหรือเหลืองเข้มตามสายพันธุ์ ความแก่ของผลเกิน 75% ขึ้นไปหรือมีแต้มสุกประมาณ 3 แต้ม ซึ่งมะละกอที่เข้าโรงงานจะต้องผ่านการสุ่มเจาะตรวจสีเนื้อ
พันธุ์มะละกอที่โรงงานรับซื้อนั้นไม่เกี่ยงเรื่องของพันธุ์โดยจะดูสีเนื้อของมะละกอเป็นหลัก โดยแยกรับซื้อเป็นมะละกอเนื้อสีแดงกับมะละกอเนื้อสีเหลืองในสัดส่วน 2:1 มะละกอเนื้อสีแดงนั้นจะหาง่ายเพราะบ้านเรานิยมปลูกกันทั่วไปอยู่แล้วโดยเฉพาะพันธุ์แขกดำ แขกนวล แต่มะละกอเนื้อเหลืองจะไม่ค่อยนิยมปลูกกันดังนั้นทางโรงงานจึงต้องให้เมล็ดพันธุ์กับพ่อค้าและเกษตรกรลูกไร่นำไปปลูกเพื่อส่งให้กับโรงงานโดยเฉพาะ พันธุ์เนื้อเหลืองที่ส่งเสริมก็จะมีพันธุ์เหลืองท่าพระ เหลืองฟลอริดา เป็นต้น
โรงงานอีกแบบหนึ่งจะเป็นโรงงานที่รับซื้อมะละกอคุณภาพต่ำลงมา รองรับผลผลิตของเกษตรกรได้มากขึ้น ราคารับซื้อก็จะถูกลง เพราะรับซื้อทั้งมะละกอที่มีขนาดผลผลเล็ก มะละกอสุกแต่ไม่เละ มะละกอผิวไม่สวยหรือมะละกอที่เป็นโรคไวรัสจุดวงแหวนก็ยังส่งได้แต่ต้องไม่เสียไปถึงเนื้อ โรงงานจะนำไปปอกเพื่อนำเนื้อไปทำฟรุ๊ตคอลเทลเช่นกันแต่ป้อนตลาดในระดับล่างกว่า และนำไปทำมะละกออบแห้ง ส่งนอก หรือขูดเป็นเส้นทำมะละกอตากแห้งเค็ม เป็นต้น โรงงานที่รับผลผลิตมะละกอลักษณะนี้ก็จะมีทั้งโรงงานรับซื้อเข้าไปปอกเองและโรงปอกเพื่อปอกผลผลิตส่งให้กับโรงงานอีกทอดหนึ่ง ส่วนใหญ่โรงงานจะไม่รับผลผลิตเองแต่จะซื้อผลผลิตผ่านโรงปอกเพื่อลดขั้นตอนการทำงานลง โรงปอกส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในเขตดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี แต่ละโรงสามารถรับซื้อผลผลิตได้ในปริมาณมากหลายสิบตันต่อวัน มีคนปอกในโรงงานตั้งแต่ 20-30 คน ไปจนถึงมากกว่า 100 คน ขึ้นอยู่กับขนาดของโรงงาน
ราคารับซื้อของโรงงานส่วนใหญ่อยู่ที่ 4-5 บาท/กก. ยกเว้นปี 2555-2556 ที่ราคามะกอโรงงานสูงเทียบเท่าราคามะกอ คือ ประมาณ 10-12 บาท/กก. ทั้งที่ก่อนหน้านี้หลายปีติดต่อกันโรงงานซื้อกันอยู่ที่ 5-7 บาท/กก. เท่านั้น ในเรื่องนี้คุณสุกิจ ด่านธำรงกุล บริษัท อาหารสยาม กล่าวว่า โดยทั่วไปแล้วโรงงานผลิตอาหารกระป๋องทั่วไปจะรับซื้อมะละกอมาใช้เป็นส่วนผสมของฟรุ๊ตคอกเทลรวมกับผลไม้ชนิดอื่น ราคารับซื้อในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 7-8 บาท/กก. จนกระทั่งปีที่แล้วต่างประเทศมีออร์เดอร์สั่งซื้อเข้ามามาก ซึ่งโดยปกติแล้วการรับออร์เดอร์ทางโรงงานจะต้องทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประมาณ 3-4 เดือนก่อนที่จะส่งสินค้า บังเอิญว่าออร์เดอร์การสั่งซื้อที่ทำสัญญากันกับต่างประเทศซึ่งจะต้องมีการส่งสินค้ากันตรงกับช่วงที่ผลผลิตมะละกอในท้องตลาดมีปริมาณน้อย ทางโรงงานจึงต้องปรับราคารับซื้อขึ้นมาเพื่อให้ใกล้เคียงกับราคามะละกอกินสด จึงเป็นผลให้ราคามะละกอโรงงานปรับตัวสูงขึ้น ราคารับซื้อเพื่อส่งโรงงานพุ่งไปถึง 12-15 บาท/กก. ใกล้เคียงกับราคามะละกอกินสด ขณะที่การจัดการทั้งในส่วนของการดูแลและในส่วนของการเก็บเกี่ยว การแพ็ค การขนส่งของมะละกอโรงงานน้อยกว่ามะละกอกินสดมาก ทำให้ชาวสวนเกิดความเข้าใจว่ามะละกอโรงงานมีความต้องการสูงและหันไปปลูกมะละกอเข้าโรงงานกันมาก แต่หลังจากนั้นราคามะละกอโรงงานก็ปรับตัวลงมาปกติ มะละกอโรงงานเกรดบนยังซื้อกันอยู่ที่ 7-8 บาท/กก. ส่วนเกรดล่างรับซื้อ(โรงปอก) ซื้อกันอยุ่ที่ 4-5 บาท/กก.และมีแนวโน้มว่ามะละกอโรงงานราคาจะไม่สูงกว่านี้หรืออาจจะต่ำลงมากว่านี้อีกเนื่องจาก 2 ปีมานี้ สถานการณ์เศรษฐกิจของยุโรปและอเมริกาซึ่งเป็นผู้สั่งซื้อรายใหญ่ไม่ค่อยดี ออร์เดอร์สั่งซื้อปีนี้จึงลดลงมามาก ซึ่งช่วงนี้ถือเป็นช่วงการเจรจาเพื่อทำสัญญาซื้อขายและส่งสินค้ากันล่วงหน้าซึ่งจะต้องมีการสั่งออร์เดอร์ล่วงหน้าประมาณ 3-4 เดือน ชาวสวนที่คิดจะพึ่งมะละกอโรงงานอาจจะต้องเตรียมใจว่าราคามะละกอโรงงานอาจจะไม่สดใสเหมือนช่วงปี 2555-ต้นปี 56 ที่ผ่านมา
โรงงานนับเป็นอีกตลาดที่รองรับมะละกอที่ตกเกรดหรือคุณภาพไม่สูงพอที่จะป้อนตลาดมะละกอกินสุก เพราะโรงงานรับมะละกอที่ตกเกรดแทบจะทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นมะละกอที่ผิวไม่สวย มะละกอที่สุกมากแต่ไม่ถึงกับเละ มะละกอที่มีขนาดผลที่เล็กมาก เป็นต้น อย่างไรก็ตามมะละกอที่ป้อนโรงงานต้องบอกว่ามี 2 เกรด คือ โรงงานระดับบนที่ผลิตสินค้าคุณภาพระดับพรีเมี่ยมเพื่อป้อนตลาดผู้บริโภคระดับพรีเมี่ยมในต่างประเทศ ซึ่งโรงงานจะนำไปแปรรูปเป็นฟรุ๊ตคอกเทล(หั่นเป็นชิ้นลูกเต๋าขนาดเล็ก)ร่วมกับฝรั่ง สับปะรดและผลไม้อื่นๆ คุณภาพของมะละกอที่เข้าโรงงาน ลักษณะนี้จะใช้มะละกอที่มีผลใหญ่หน่อย น้ำหนักผลมากกว่า 1 กก.ขึ้นไป ซึ่งปอกแล้วต้องเหลือส่วนของเนื้อหนาไม่ต่ำกว่า 1 ซม. โรงงานจะไม่ซื้อมะละกอผลเล็กเพราะเนื้อจะบาง ชอบมะละกอผลใหญ่ เนื้อหนา ไม่เกี่ยงว่าจะต้องเป็นมะละกอผลกลม ผลยาว ขอให้มีเนื้อหนา ลูกโตเท่านั้น ขณะที่มะละกอป้อนตลาดทั่วไป จะชอบมะละกอผลยาว ดังนั้นเกษตรกรที่ปลูกมะละกอป้อนโรงงานไม่ต้องกังวลเรื่องมะละกอผลกลม ผลยาวกันอีก สีของเนื้อมะละกอต้องมีสีแดงเข้มหรือเหลืองเข้มตามสายพันธุ์ ความแก่ของผลเกิน 75% ขึ้นไปหรือมีแต้มสุกประมาณ 3 แต้ม ซึ่งมะละกอที่เข้าโรงงานจะต้องผ่านการสุ่มเจาะตรวจสีเนื้อ
พันธุ์มะละกอที่โรงงานรับซื้อนั้นไม่เกี่ยงเรื่องของพันธุ์โดยจะดูสีเนื้อของมะละกอเป็นหลัก โดยแยกรับซื้อเป็นมะละกอเนื้อสีแดงกับมะละกอเนื้อสีเหลืองในสัดส่วน 2:1 มะละกอเนื้อสีแดงนั้นจะหาง่ายเพราะบ้านเรานิยมปลูกกันทั่วไปอยู่แล้วโดยเฉพาะพันธุ์แขกดำ แขกนวล แต่มะละกอเนื้อเหลืองจะไม่ค่อยนิยมปลูกกันดังนั้นทางโรงงานจึงต้องให้เมล็ดพันธุ์กับพ่อค้าและเกษตรกรลูกไร่นำไปปลูกเพื่อส่งให้กับโรงงานโดยเฉพาะ พันธุ์เนื้อเหลืองที่ส่งเสริมก็จะมีพันธุ์เหลืองท่าพระ เหลืองฟลอริดา เป็นต้น
โรงงานอีกแบบหนึ่งจะเป็นโรงงานที่รับซื้อมะละกอคุณภาพต่ำลงมา รองรับผลผลิตของเกษตรกรได้มากขึ้น ราคารับซื้อก็จะถูกลง เพราะรับซื้อทั้งมะละกอที่มีขนาดผลผลเล็ก มะละกอสุกแต่ไม่เละ มะละกอผิวไม่สวยหรือมะละกอที่เป็นโรคไวรัสจุดวงแหวนก็ยังส่งได้แต่ต้องไม่เสียไปถึงเนื้อ โรงงานจะนำไปปอกเพื่อนำเนื้อไปทำฟรุ๊ตคอลเทลเช่นกันแต่ป้อนตลาดในระดับล่างกว่า และนำไปทำมะละกออบแห้ง ส่งนอก หรือขูดเป็นเส้นทำมะละกอตากแห้งเค็ม เป็นต้น โรงงานที่รับผลผลิตมะละกอลักษณะนี้ก็จะมีทั้งโรงงานรับซื้อเข้าไปปอกเองและโรงปอกเพื่อปอกผลผลิตส่งให้กับโรงงานอีกทอดหนึ่ง ส่วนใหญ่โรงงานจะไม่รับผลผลิตเองแต่จะซื้อผลผลิตผ่านโรงปอกเพื่อลดขั้นตอนการทำงานลง โรงปอกส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในเขตดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี แต่ละโรงสามารถรับซื้อผลผลิตได้ในปริมาณมากหลายสิบตันต่อวัน มีคนปอกในโรงงานตั้งแต่ 20-30 คน ไปจนถึงมากกว่า 100 คน ขึ้นอยู่กับขนาดของโรงงาน
ราคารับซื้อของโรงงานส่วนใหญ่อยู่ที่ 4-5 บาท/กก. ยกเว้นปี 2555-2556 ที่ราคามะกอโรงงานสูงเทียบเท่าราคามะกอ คือ ประมาณ 10-12 บาท/กก. ทั้งที่ก่อนหน้านี้หลายปีติดต่อกันโรงงานซื้อกันอยู่ที่ 5-7 บาท/กก. เท่านั้น ในเรื่องนี้คุณสุกิจ ด่านธำรงกุล บริษัท อาหารสยาม กล่าวว่า โดยทั่วไปแล้วโรงงานผลิตอาหารกระป๋องทั่วไปจะรับซื้อมะละกอมาใช้เป็นส่วนผสมของฟรุ๊ตคอกเทลรวมกับผลไม้ชนิดอื่น ราคารับซื้อในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 7-8 บาท/กก. จนกระทั่งปีที่แล้วต่างประเทศมีออร์เดอร์สั่งซื้อเข้ามามาก ซึ่งโดยปกติแล้วการรับออร์เดอร์ทางโรงงานจะต้องทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าประมาณ 3-4 เดือนก่อนที่จะส่งสินค้า บังเอิญว่าออร์เดอร์การสั่งซื้อที่ทำสัญญากันกับต่างประเทศซึ่งจะต้องมีการส่งสินค้ากันตรงกับช่วงที่ผลผลิตมะละกอในท้องตลาดมีปริมาณน้อย ทางโรงงานจึงต้องปรับราคารับซื้อขึ้นมาเพื่อให้ใกล้เคียงกับราคามะละกอกินสด จึงเป็นผลให้ราคามะละกอโรงงานปรับตัวสูงขึ้น ราคารับซื้อเพื่อส่งโรงงานพุ่งไปถึง 12-15 บาท/กก. ใกล้เคียงกับราคามะละกอกินสด ขณะที่การจัดการทั้งในส่วนของการดูแลและในส่วนของการเก็บเกี่ยว การแพ็ค การขนส่งของมะละกอโรงงานน้อยกว่ามะละกอกินสดมาก ทำให้ชาวสวนเกิดความเข้าใจว่ามะละกอโรงงานมีความต้องการสูงและหันไปปลูกมะละกอเข้าโรงงานกันมาก แต่หลังจากนั้นราคามะละกอโรงงานก็ปรับตัวลงมาปกติ มะละกอโรงงานเกรดบนยังซื้อกันอยู่ที่ 7-8 บาท/กก. ส่วนเกรดล่างรับซื้อ(โรงปอก) ซื้อกันอยุ่ที่ 4-5 บาท/กก.และมีแนวโน้มว่ามะละกอโรงงานราคาจะไม่สูงกว่านี้หรืออาจจะต่ำลงมากว่านี้อีกเนื่องจาก 2 ปีมานี้ สถานการณ์เศรษฐกิจของยุโรปและอเมริกาซึ่งเป็นผู้สั่งซื้อรายใหญ่ไม่ค่อยดี ออร์เดอร์สั่งซื้อปีนี้จึงลดลงมามาก ซึ่งช่วงนี้ถือเป็นช่วงการเจรจาเพื่อทำสัญญาซื้อขายและส่งสินค้ากันล่วงหน้าซึ่งจะต้องมีการสั่งออร์เดอร์ล่วงหน้าประมาณ 3-4 เดือน ชาวสวนที่คิดจะพึ่งมะละกอโรงงานอาจจะต้องเตรียมใจว่าราคามะละกอโรงงานอาจจะไม่สดใสเหมือนช่วงปี 2555-ต้นปี 56 ที่ผ่านมา
จากข้อมูลข้างต้นคงพอจะเป็นแนวทางให้ท่านที่สนใจจะปลูกมะละกอได้พอมองเห็นและกำหนดแนวทางการปลูกได้ว่าจะเดินหน้าอย่างไรกับไม้ผลชนิดนี้กันนะคะ
แหล่งข้อมูล กลุ่มเกษตรก้าวใหม่ New (facebook)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น